กรุงเทพฯ 16 ต.ค.-ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่า 20 จุด ตามทิศทางตลาดต่างประเทศกังวลสงครามอิสราเอล-ฮามาสขยายวง
วันนี้ ตลาดช่วงเช้าร่วงแรง เมื่อเวลา 10.43 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,428.61 จุด ลดลง 22.14 จุด (-1.53%) นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า มองภาพตลาด “Sideways” บรรยากาศลงทุนระยะสั้นอาจผันผวน ตามหุ้นต่างประเทศ ที่ตามสถานการณ์สงครามอิสราเอล และกลุ่มฮามาสที่ขยายวงมากขึ้น จากแผนของทางการอิสราเอลเตรียมเปิดปฏิบัติการเข้าโจมตีฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม จุดดี คือ ตลาดหุ้นอยู่ในโซนลงทุน และเศรษฐกิจกำลังจะเร่งขึ้น จากมาตรการรัฐบาลสัปดาห์นี้จะทยอยชัดเจน ทั้ง Digital Wallet และการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม นโยบายวีฟรีซ่ารัสเซีย หนุนค่าเงินบาทแข็งค่าตอบรับ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประชุมหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มั่นใจนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ถึง 28 ล้านคน รายได้รวม 2.4 ล้านล้านบาท โดยอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการต่างๆ พร้อมของบฯบูสเตอร์ชอต 600 ล้านบาท ดันตลาดช่วงไฮซีซั่น ตัวอย่างเช่น การเพิ่มประเทศยกเว้นวีซ่า ตามที่มีการเสนอเข้ามา เช่น อินเดีย ไต้หวัน การขยายระยะเวลาการพำนักในประเทศไทยจาก 30 วัน เป็น 45 วัน หรือมากกว่านี้ สำหรับตลาดที่นักท่องเที่ยว long stay การพิจารณาลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยบางรายการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น การเปิดสถานบันเทิง ผับ-บาร์ ถึง 02.00 น. หรือเปิด 24 ชั่วโมง สำหรับพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ การเตรียมแผนทำการตลาดร่วมกับสายการบิน เพื่อให้เพิ่มเส้นทางการบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบินให้มากขึ้น หรือให้สิทธิพิเศษ (privilege) สำหรับนักท่องเที่ยว เพิ่มเติม และการ จัดบิ๊กอีเวนต์ยาวถึงสิ้นปี เช่น เทศกาลลอยกระทง, งานวิจิตรเจ้าพระยา, Amazing Thailand Marathon Bangkok 2023, Countdown 2024 ฯลฯ
“เรามอง slightly positive ต่อข้อมูลดังกล่าว สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่องและเชื่อว่าการท่องเที่ยวคือหนึ่งในเครื่องมือที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราคงมอง กรุงเทพฯ ยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศ และการจัดงานบิ๊กอีเวนต์ต่างๆส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกรุงเทพฯ และกลุ่มโรงแรมจะได้ประโยชน์” นายกรภัทร กล่าว
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต ประเมิน ความตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลให้มีการปรับพอร์ตการลงทุนโดยขายสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะทองคำมากขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นกว่า 3% ส่วนราคาน้ำมันก็ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ โดยเฉพาะ PTTEP และโรงกลั่นต่างๆ ที่จะสามารถบันทึกกำไรจากสตอกน้ำมัน นอกจากนี้ค่าการกลั่นอยู่ในแนวโน้มที่ดี อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงใช้ความระมัดระวังในการลงทุนจากความเสี่ยงสงครามที่อาจจะยืดเยื้อ
ส่วนทิศทางผลประกอบการไตรมาส 3/66 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่าน่าจะเป็นไตรมาสที่ดีของหุ้นกลุ่มธนาคารฯ โดยคาดว่าทั้งกลุ่มจะเติบโตราว 18 % ซึ่ง BBL เติบโตโดดเด่นที่สุดราว 45% รองลงมาคือ KTB เติบโตราว 31% และ TTB เติบโตราว 25% จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป จะส่งผลดีต่อเนื่องกับผลประกอบการกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4 และยาวไปถึงต้นปีหน้า.-สำนักข่าวไทย