จาการ์ตา 2 ต.ค.- เหตุจลาจลที่สนามฟุตบอลอินโดนีเซียหลังจบการแข่งขันเมื่อคืนวันเสาร์มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 174 คนแล้ว ส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะถูกเบียดและเหยียบ หลังจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชนจนผู้คนวิ่งหนีกันอย่างโกลาหล
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อแฟนฟุตบอลทีมอาเรมา เอฟซี ของเมืองมาลัง ที่เป็นเจ้าบ้าน ผิดหวังที่ทีมพ่ายให้แก่ทีมเปอร์เซบายา สุราบายาไป 2 ต่อ 3 ประตู จึงพากันขว้างปาขวดน้ำและสิ่งของใส่นักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ แล้วลงไปประท้วงเต็มสนามคันจูรูฮัน เรียกร้องให้คณะบริหารของทีมชี้แจงว่า เหตุใดทีมที่ไม่เคยแพ้ในบ้านมาตลอด 23 ปี จึงจบเกมด้วยสกอร์ดังกล่าว เหตุจลาจลลุกลามออกไปนอกสนาม มีการเผาทำลายรถตำรวจอย่างน้อย 5 คัน ด้านตำรวจปราบจลาจลตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตา และมีการยิงไปยังผู้คนที่อัฒจรรย์ด้วย ทั้งที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า (FIFA) มีกฎห้ามใช้แก๊สน้ำตาในสนามฟุตบอล ทำให้คนในสนามแห่วิ่งหนีไปยังทางออกเพื่อหนีแก๊สน้ำตา จนเกิดการเบียดกันมีทั้งคนหายใจไม่ออกและคนถูกเหยียบ รายงานระบุว่า มีคนเสียชีวิตในสนามฟุตบอล 34 คน บางรายงานระบุว่ามีเด็กรวมอยู่ด้วย
ผู้บัญชาการตำรวจชวาตะวันออกแถลงข่าวในเช้าวันนี้ว่า ตำรวจได้ดำเนินมาตรการป้องกันแล้ว ก่อนตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาในที่สุด เนื่องจากแฟนฟุตบอลเริ่มทำร้ายตำรวจ กระทำการอย่างไร้ขื่อแป และเผายวดยาน ผู้บาดเจ็บมากกว่า 300 คนถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลใกล้เคียง แต่หลายคนเสียชีวิตระหว่างทางและระหว่างการรักษา ด้านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชวาตะวันออกเผยกับคอมปาสทีวีว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 174 คนแล้ว และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 100 คนรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล 8 แห่ง ในจำนวนนี้ 11 คนอาการสาหัส
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดของอินโดนีเซียแถลงทางโทรทัศน์แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และได้สั่งการให้รัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และประธานสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียหรือพีเอสเอสไอ (PSSI) ประเมินการแข่งขันฟุตบอลและมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างละเอียด พร้อมกับสั่งให้พีเอสเอสไองดการแข่งขันอินโดนีเซียซูเปอร์ลีกหรือลีกาซาตู (Liga 1) ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลระดับสูงสุดของประเทศ จนกว่าจะมีการประเมินและปรับปรุงเรื่องการรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้หลังจากที่เกิดเหตุพีเอสเอสไอได้ประกาศงดการแข่งขันที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า และห้ามทีมอาเรมา เอฟซีเป็นเจ้าบ้านการแข่งขันนัดที่เหลือทั้งหมดของฤดูกาลนี้.-สำนักข่าวไทย