ก.คลัง 11 พ.ย. – นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงการคลัง เน้นเงินลงทุนภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เป็นหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยอมรับจีดีพีไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ หากผลักดันเศรษฐกิจดีขึ้นจะช่วยลดปัญหาหนี้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้กระทรวงการคลังรักษาวินัยการเงินการคลังการลงทุนทุกด้านให้เป็นไปตามแผน โดยไม่ต้องการให้ก่อหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจนชนเพดาน จากปัจจุบันอยู่ในระดับร้อยละ 42 ของจีดีพี เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่สามารถบริหารงานต่อไปได้ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องการเน้นให้รัฐวิสาหกิจเป็นตัวหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาลปีหน้า หากรัฐวิสาหกิจรายใดมีแผนลงทุนในอีก 2 ปีข้างหน้าให้เร่งนำมาลงทุนภายในปี 2560 เนื่องจากภาคเอกชนยังเกิดความลังเลในการลงทุน จึงต้องใช้รัฐวิสาหกิจที่มีแผนลงทุนเดินเครื่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจะทำให้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ปรับลดลงมาได้ ยอมรับว่าในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจะทำให้ปัญหาหนี้เสียสูงขึ้นเป็นเรื่องปกติของผู้ประกอบการ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งขับเคลื่อนเศษฐกิจให้ขยายตัวเต็มศักยภาพร้อยละ 4 เนื่องจากปัจจุบันขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ซึ่งรัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อภาคเอกชนไม่ขับเคลื่อนจึงต้องให้รัฐวิสหากิจทำหน้าที่แทน สำหรับมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชนที่ครบกำหนดสิ้นปีนี้จะไม่ขยายเวลาต่อให้อีก เมื่อเศรษฐกิจโตเต็มที่ปัญหาหนี้เสียจะลดลง ขณะที่กระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการให้มีความคืบหน้า
สำหรับเรื่องสหรัฐ กระทรวงการคลังเตรียมแผนรองรับเอาไว้รับมืออยู่แล้ว และน่าจะรองรับได้ เพราะไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เคยมีประสบการณ์แก้ปัญหาผ่านวิกฤติหลายเรื่องมาแล้ว โดยสามารถแก้ปัญหาผ่านไปได้ และขณะนี้มีทุนสำรองจำนวนมาก การไหลเวียนเงินทุนอาจหมุนเวียนมากขึ้นในตลาดโลก และไม่จำเป็นต้องตั้งวอร์รูมขึ้นมาแต่อย่างใด จึงต้องรอฟังนโยบายรัฐบาลสหรัฐให้ชัดเจน สำหรับการส่งออกของไทยไปสหรัฐเพียงร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมด จึงไม่น่ากังวล
ส่วนปัญหาการตีความของบริษัทเชฟรอนยื่นขอคืนภาษี 3,000 ล้านบาทนั้น เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐยังมีความเห็นไม่ตรงกัน บางส่วนราชการระบุเป็นพื้นที่นอกราชอาณาจักร บางหน่วยงานระบุว่าเป็นพื้นที่ในประเทศจะต้องเสียภาษี เพราะตีความตามกฎหมายของหน่วยงานตนเอง เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจนแนวเดียวกัน จึงต้องเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นผู้พิจารณากฎหมายหลายหน่วยงาน โดยกระทรวงการคลังไม่กังวลว่าจะมีความเสียหายเพิ่ม นอกจากนี้ ต้องรอให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงพิจารณาปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังเดินหน้าเตรียมแผนกระทรวงการคลัง 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทั้งระบบข้อมูลเชื่อมโยงกับหลายหน่วยงาน การให้บริการในรูปแบบดิจิตอล E-Payment รวมทั้งการเสนอแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจระยะ 5 ปีต่อรัฐบาล โดยจัดแผนลงทุนเป็นรายสาขา เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสหากิจ (คนร.) เดือนธันวาคมนี้.-สำนักข่าวไทย