นครศรีธรรมราช 9 ม.ค.- จังหวัดนครศรีฯ ยังไม่วางใจฟ้าฝนสั่งเฝ้าระวังต่อ ลุ่มน้ำปากพนังน่าห่วงท่วมสูง ประสานกองทัพเรือขอเรือผลักดันน้ำเพิ่มอีก 40 เครื่อง เพื่อสกัดปริมาณน้ำไหลมาสมทบ ขณะที่เส้นทางสาย 41พบรอยแตกร้าวพาดผ่านถนนเป็นทางยาว จนท.ดูแลใกล้ชิด
สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดนครศรีธรรมราช แม้วันนี้ (9 ม.ค.) บางพื้นที่เริ่มคลี่คลาย และถนนสายหลักทุกสายในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชรถทุกชนิดสัญจรได้แล้ว แต่พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ได้แก่ อ.เชียรใหญ่ หัวไทร ปากพนัง เฉลิมพระเกียรติ และ อ.เมือง ยังมีน้ำสะสมสูงกว่า 1 เมตร รอการระบายประมาณ 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปัจจุบันระบายได้เพียงวันละ 160 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้จังหวัดต้องขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจากกองทัพเรืออีก 40 เครื่อง มาติดตั้งผลักดันน้ำออกสู่ปากอ่าวปากนคร จำนวน 4 จุด ๆ ละ 10 เครื่อง ในพื้นที่ปากคลองปากนครและปากคลองบางควาย เพื่อดันน้ำไม่ให้ไหลไปสมทบในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ซึ่งเรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือที่จังหวัดนครศรีธรรมราชขอรับการสนับสนุนไปรอบแรก จำนวน 50 เครื่องนั้น ขณะนี้ได้นำไปติดตั้งและผลักดันน้ำแล้วจำนวน 30 เครื่อง ที่ประตูระบายน้ำคลองชะอวด-แพรกเมือง อ.หัวไทร ส่วนอีก 20 ลำ จะเดินทางถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชในวันนี้ (9 ม.ค.) เพื่อติดตั้งที่ อ.ปากพนัง
ส่วนถนนที่ยังไม่สามารถสัญจรได้ คือ สายบ่อล้อ-บ้านตูล-บรรจบถนนหมายเลข 41 แยกควนหนองหงส์ ยังปิดการจราจร เนื่องจากน้ำท่วม 80 เซนติเมตร รวมทั้งถนนสายทุ่งขวัญแก้ว-เนินธัมมัง น้ำสูง 1 เมตร ถนนสายทางพูน-ไม้หลา จมน้ำ 60 เซนติเมตร และถนนสายห้วยแก้ว-สิชล ดินโคลนถล่มปิดทับถนนสูงประมาณ 2 เมตร ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงนครศรีธรรมราชที่ 2 (ทุ่งสง) ได้ปิดการจราจรทางหลวงหมายเลข 41 ตอน ทุ่งสง-ร่อนพิบูลย์ รอยต่อระหว่าง ต.ร่อนพิบูลย์ อ.ร่อนพิบูลย์ และ ต.ถ้ำใหญ่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช หลังเกิดเหตุดินบนเขาไหลลงมาทับเส้นทางบางส่วนและมีแนวโน้มจะร่วงเพิ่มขึ้น เนื่องจากพบรอยร้าวของแนวภูเขาพาดผ่านบนถนน จึงต้องปิดการจราจรเหลือเพียงช่องทางเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้ฝนในหลายพื้นที่ได้ลดลงแล้ว แต่จังหวัดยังคงเตือนให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง ท่าศาลา นบพิตำ สิชล ขนอม และพิปูน เฝ้าระวังต่อไปอีก เนื่องจากกลุ่มฝนกำลังเคลื่อนตัวไปทางด้านทิศเหนือ สำหรับพื้นที่ประสบอุทกภัยของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 23 อำเภอ 154 ตำบล 1,284 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 359,459 คน 125,202 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย.-สำนักข่าวไทย