กรุงเทพฯ 18 ม.ค. – นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น หรือตั๋วบีอี ว่า ยังไม่มีปัญหารุนแรงจนน่าเป็นห่วง คาดว่าคงไม่เกิดผลกระทบมายังเศรษฐกิจของประเทศ หรือระบบสถาบันการเงิน เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งรองรับปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมทั้งคงไม่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมประสานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลปัญหาร่วมกัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มาตรการกำกับดูแลที่มีอยู่ปัจจุบันถือว่ามีมาตรฐานสากล
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ผู้ได้รับผลกระทบเป็นเพียงกลุ่มนักลงทุนกลุ่มใหญ่ที่มีความรู้เเละทราบถึงความเสี่ยงจากการซื้อตราสารดังกล่าวอยู่เเล้ว ส่วนจะสามารถฟ้องร้องเอาผิดผู้ออกตั๋วได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนา และพิจารณาว่ากฎหมายสามารถฟ้องร้องได้หรือไม่ หลังจากนักลงทุนเจ้าหนี้ของบริษัทรายหนึ่งไม่สามารถนำตั๋วและเงินไปเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่นได้ ก.ล.ต.จึงอยู่ระหว่างการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและต้องวางเเนวทางการลงทุนระยะยาวในตั๋วประเภทนี้ให้ชัดเจนขึ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งชี้แจงว่ามีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดผลตามมาในวงกว้าง โดยเฉพาะในยุคสื่อสารออนไลน์ ข่าวลือแพร่กระจายรวดเร็วมาก หากไม่สร้างความเข้าใจอาจเกิดปัญหา เพราะมีขบวนการปั่นข่าวว่าเสียหายนับแสนล้านบาท ซึ่งที่จริงเหตุเกิดจาก 2-3 บริษัทเท่านั้น และบางรายผู้บริหารขัดแย้งกัน แต่กลับสร้างกระแสว่าเสียหายจำนวนมาก จึงต้องการให้ทุกฝ่ายตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน.-สำนักข่าวไทย