กรุงเทพฯ 24 ม.ค. – ในการสัมมนา “ทิศทางตลาดหุ้น หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ” นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ กล่าวว่า หัวใจการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ คือ การกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานและการลดภาษีนิติบุคคล จากร้อยละ 35 เหลือ 15 ซึ่งจะกระตุ้นให้เอกชนลงทุนตาม รวมทั้งการลดเลิกกฎเกณฑ์ที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐไม่เติบโต ซึ่งทั้งหมดเน้นการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวจะส่งผลดีให้เศรษฐกิจโลกเติบโตดีและเศรษฐกิจไทยจะได้ผลบวกตามไปด้วย และเชื่อว่าสินค้าส่งออกของไทยจะไม่ถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา เพราะไม่ใช่สินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สหรัฐต้องการดึงกลับไปลงทุน
ส่วนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของต่างชาติ คาดว่าจะยังคงไหลเข้า-ออกระยะหนึ่งมีความผันผวนต่อเนื่องแต่น้อยกว่าปี 2559 เพราะยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวประมาณ 200 จุด ดัชนีเหมาะสมของปีนี้ที่ 1,650 จุด และคาดว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้อีก 2-3 ปี เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังขยายตัวได้ดี
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ( ประเทศไทย ) จำกัด กล่าวว่า หลังจากนี้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจะเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง ทั้งเงินไหลเข้าและไหลออกขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ครึ่งปีแรกน่าจะยังเห็นการไหลเข้าของเงินทุนให้นักลงทุนติดตามจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ประเมินดัชนีระดับเหมาะสมปีนี้ที่ 1,650 จุด กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ร้อยละ 12 โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตสูงในกลุ่มพลังงานตามสถานการณ์ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น และธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย กล่าวว่า กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายครึ่งปีหลังจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วจะกระทบเงินทุนไหลออก โดยประเมินแนวรับของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,500 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,690 จุด โดยมีกำไรสุทธิอยู่ร้อยละ 13
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเวินทุนบุคคล บล. กสิกรไทย กล่าวว่า จากนโยบาย “ทรัมป์” หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อขาขึ้น ทั้งน้ำมัน ถ่านหิน โรงกลั่น รองลงมา คือ หุ้นสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา น้ำตาล และสินค้าปศุสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อหมู กลุ่มเหล็ก ขนส่งทางเรือ ส่วนกลุ่มที่ต้องจับตาและระวัง คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวช้า.- สำนักข่าวไทย