ก.ยุติธรรม 7 ก.พ. – รองปลัดยุติธรรม มั่นใจพยานหลักฐานสู้คดีครูจอมทรัพย์ ที่จะขึ้นศาลพรุ่งนี้ เน้นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และผลพิสูจน์รถยนต์ที่ชี้ชัดไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ
พันตำรวจเอกดุษฏี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม(ยธ.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้ รับความเป็นธรรม (ศนธ.ยธ.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ก่อนขึ้นศาล จ.นครพนม ในการต่อสู้คดี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.สกลนคร ที่จะขึ้นศาลในวันพรุ่งนี้(8 ก.พ.) ว่า จนถึงขณะนี้ยังคงมั่นใจในพยานหลักฐานที่มี โดยมีจะพยานขึ้นเบิกความรวมทั้งสิ้น 10 ปาก
โดยจะเปิดคดีด้วยเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีจากดีเอสไอ ตามด้วยนางจอมทรัพย์ และประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญจากกรมการขนส่งทางบก คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและพยานเอกสารจากวิศวกรบริษัทโตโยต้า รวมถึงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด โดยพยานทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ตรวจจากรถยนต์ของครูจอมทรัพย์ ว่า ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ และไม่เคยมีประจักษ์พยานคนไหนที่เห็นว่าครูจอมทรัพย์ขับรถในวันเกิดเหตุ
สำหรับรถยนต์ของครูจอมทรัพย์เจ้าหน้าที่ได้นำขึ้นรถสไลด์ ไปยังศาล จ.นครพนม เพื่อทนายความ จะขอความเมตตาต่อศาลให้ลงมาดูว่าร่องรอยการชนของรถนั้นเป็นอย่างไร ร่องรอยของสีที่ติดจากจักรยานยนต์มีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ที่สำคัญ ก็คือต้องการให้เห็นว่าสภาพรถนั้นเป็นอย่างไร ทั้งหมดคือเพื่อประโยชน์ของครูจอมทรัพย์
ทั้งนี้ในส่วนของคดีที่มีกลุ่มบุคคลต่างๆ รวมถึงประชาชนให้ความสนใจ ได้ลงไปในพื้นที่นำพยานหลักฐานในรูปแบบต่างๆออกนำเสนอ และนำมามอบให้ทางกระทรวงนั้น ส่วนตัวคงจะไม่นำเอาเอกสารเหล่านี้มาใช้ในการว่าความวันพรุ่งนี้ เข้าใจว่าเจตนาดี แต่ยังมั่นใจในทีมทำงาน ดังนั้นขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่จะดีที่สุด
ส่วนตัวในส่วนของการทำคดีครูจอมทรัพย์นั้นไม่ได้หนักใจ แต่ขอให้ใช้คำว่ายิ่งทำงาน และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเชิงลึกกับฝ่ายตำรวจ ก็ทำให้ยิ่งมั่นใจ ซึ่งการที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ที่ต่างกันกลับเป็นผลดีและจะยิ่งทำให้ได้ข้อมูลรอบด้าน จะทำให้สังคมประจักษ์ว่าหลักฐานที่แต่ละฝ่ายได้มาเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับประชาชน เพราะไม่ไช่มีแค่คดีนี้คดีเดียวที่กระทรวงยุติธรรมต้องทำงานร่วมกับตำรวจ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนการลงโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงก็ต้องขอให้เป็นหน้าที่ของต้นสังกัด เพราะวานนี้(6 ก.พ.)ทางจเรตำรวจแห่งชาติก็ได้ออกมาระบุแล้วว่าเรื่องนี้จะนำไปเป็นกรณีศึกษา ที่นำไปสู่การปฏิรูปในอนาคต.-สำนักข่าวไทย