กองทัพบก 16ธ.ค.- ผอ.ศูนย์ไซเบอร์ทบ. เชื่อ พ.ร.บ.คอมฯ ผ่านวาระ 3 มั่นใจไม่กระทบประชาชนทั่วไป ชี้กระแสค้านเพราะรัฐขาดการชี้แจง-ประชาสัมพันธ์
พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก (ศซบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับที่ …พ.ศ….. วาระ 2-3 วันนี้ ว่า เจ้าหน้าที่มีความเข้าใจ ถึงความกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ นี้ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่น้อยมาก และขาดการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชนจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิตัล ตลอดจนประโยชน์ด้านการคุ้มครอง และให้ความเป็นธรรม และดูแลปกป้องประชาชนส่วนรวมจนถึงผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ปกติทั่วไป ยกเว้นผู้ที่จงใจฝ่าฝืนในการกระทำความผิด และละเมิดกฎหมายเท่านั้น
พล.ต.ฤทธี กล่าวว่า เชื่อว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และกรรมาธิการ จะรับข้อเสนอและข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนผ่านใน วาระ 3 เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล การจำกัดเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลและการแสดงออกที่ไม่ละเมิดกฎหมาย รวมถึงการกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นธรรมตามข้อทักท้วง เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
“ประเด็นแนวคิด มุมมองของฝ่ายความมั่นคง คงจะพิจารณาถึงความจำเป็นในการควบคุมเส้นทางการจราจรทางอินเทอร์เน็ต แบบช่องทางเดียว เพื่อป้องกันและสกัดกั้นข้อมูลและการกระทำที่เป็นภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งหลายประเทศกำลังถูกโจมตีอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ และก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และความมั่นคงของประเทศ” พล.ต.ฤทธี กล่าว
ผอ.ศูนย์ไซเบอร์ กล่าวว่า ในทางปฏิบัติ ซิงเกิล เกตเวย์ ของไทย คงเป็นเพียงแนวทางการศึกษาตามที่ทางนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงไปนานแล้ว โดยให้ไปศึกษาดูทั้งในด้านกฎหมาย และด้านเทคนิคที่จะรวมเส้นทางอินเทอร์เน็ต จากหลายช่องทางปัจจุบันมาเป็นแบบช่องทางเดียวว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงผลกระทบทั้งด้านการลงทุน ด้านการบริการ ด้านการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และด้านความเชื่อมั่นต่าง ๆ เมื่อศึกษาแล้ว ก็ต้องนำมาพิจารณา และผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย แบบ พ.ร.บ. คอมพ์ฯ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาดังกล่าว คงไม่ได้ทำกันง่ายๆ เพราะมีหลายขั้นตอน และมีผลกระทบกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิตัลของประเทศ
เมื่อถามว่า มีประเด็นข้อกฎหมาย ที่มีการทักท้วงและคัดค้านกันอยู่ในหลายประเด็น เช่น เรื่องของการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว มองว่าอย่างไร พล.ต.ฤทธี กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชน ในประเด็นที่ 1 เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะปิดเว็บไซต์หรือมีอำนาจเข้าถึงข้อมูลได้ทันที แต่ทำโดยคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลฯ ซึ่งมีภาคเอกชนร่วมเป็นกรรมการ 2 ใน 5 คน เพื่อพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ จากนั้นจึงไปขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรี และพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ซึ่งศาลก็มีแนวทางในการใช้ดุลยพินิจ
พล.ต.ฤทธี กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 ข้อมูลที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ ประชาชนโดยทั่วไปในวงกว้าง ไม่ใช่กระทบแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งหากปล่อยให้ข้อมูลดังกล่าวแพร่หลายแล้วจะเกิดความเสียหาย และประเด็นที่ 3 กรณีตาม ม.14 (2) เป็นการขยายถ้อยคำจากกฎหมายเดิมที่บัญญัติเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ แต่ในร่างที่แก้ไขเพิ่มรายละเอียดว่า ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศมีเรื่องใดบ้างเพื่อให้ชัดเจนขึ้น และไม่นำมาใช้กับเรื่องหมิ่นประมาท แต่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จแล้วจะเกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ การบริการสาธารณะของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่.-สำนักข่าวไทย