รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนร้านค้าและตลาดประชารัฐ

​เมืองทองธานี 8 มี.ค. – รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนร้านค้าและตลาดประชารัฐต้นแบบเพื่อชุมชน  หวังติดปีกตลาดและร้านค้าชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคง รองรับไทยแลนด์  4.0 ดึงมูลนิธิสัมมาชีพให้ความรู้ชุมชน


นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ  หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และ บมจ.อสมท เพื่อขับเคลื่อนร้านค้าและตลาดประชารัฐต้นแบบเพื่อชุมชน  หวังติดปีกตลาดและร้านค้าชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคง รองรับไทยแลนด์  4.0 ดึงมูลนิธิสัมมาชีพมาช่วยให้ความรู้ทุกด้านกับชุมชน

จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ 35,000 ล้านบาท หวังเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ รัฐบาลจึงสนับสนุนเงินทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  79,566  กองทุน วงเงินไม่เกินกองทุนละ 500,000  บาท เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในหมู่บ้านและชุมชน หวังสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นของรัฐบาล  และเมื่อวานเป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรีร่วมประชุมที่อินโดนิเซียต่างชื่นชมประเทศไทยที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ยังไม่พอใจ เพราะความได้เปรียบเริ่มสูญเสียไป รัฐบาลจึงต้องเดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ เพราะปัญหาเหล่านี้ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้น การให้เกษตรกรดีขึ้นทั้งระบบต้องช่วยเหลืออย่างครบวงจร ผลิตสินค้าออกมาแล้วมีตลาดรองรับ สั่งหน่วยงานที่รับผิดชอบไปช่วยดูแลสินค้าโอทอป การสร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เพื่อให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในหมู่บ้าน


“เมื่อประชาชนมีความเข้มแข็ง จึงสามารถเลือกคนดีที่มีความสามารถมาช่วยพัฒนาประเทศ ด้วยการดึงอาสาประชารัฐมาอบรม บริหารจัดการ ค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านมูลนิธิสัมมาชีพทำโครงการร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน “สัมมาประชารัฐ” เพื่อดีไซน์เว็บขายสินค้าออกไปทั่วโลกและชุมชนพัฒนาเป็นผู้ประกอบการ เริ่มเดือนพฤษภาคมนี้  ฝึกอบรมชาวบ้าน เพื่อให้เข้มแข็งทางปัญญา สร้างความรู้จัก และความช่วยเหลือในชุมชน” นายสมคิด กล่าว

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า  รัฐบาลหวังให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นกลไกหลักสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ การช่วยเหลือเกษตรกร พัฒนาไปสู่ธุรกิจเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลของภาคการผลิตและการค้า ใช้กระบวนการประชารัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ อีกทั้งมีอาสาสมัครประชารัฐกว่า 240,000 คนคอยติดตามและสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ให้ประสบผลสำเร็จตามแนวทางประชารัฐ  ทำให้หลายชุมชนสามารถจัดตั้งตลาดและร้านค้า ส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชนได้สำเร็จ ปัจจุบันมีร้านค้าชุมชนถึง 19,270 แห่ง และตลาดชุมชนอีก 1,359 แห่ง นำเงินจากกองทุนมาจัดตั้งและเริ่มดำเนินการได้จริง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การพัฒนาตลาดและร้านค้าครั้งนี้ ไม่ใช่การพัฒนาเหมือนเดิม แต่เป็นมิติในการพัฒนานำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเหลือเติมการบริหารจัดการเข้าไป เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญในชุมชน  กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจึงร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ริเริ่มแนวคิด “ตลาดและร้านค้าประชารัฐต้นแบบเพื่อชุมชน” ผ่าน 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.การส่งเสริมให้สมาชิกกองทุนใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการภายในตลาดและร้านค้าชุมชน เพื่อจัดทำบัญชีในร้านอย่างเป็นระบบ  2.การให้ผู้ผลิตสินค้าในชุมชนมีช่องทางจำหน่ายสินค้าและเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสินค้าที่สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


3.การพัฒนาระบบบัตรสมาชิกตลาดและร้านค้าชุมชนให้เป็นระบบและมีศักยภาพ สามารถใช้สร้างกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ 4.การระบบวิเคราะห์ข้อมูล ความต้องการสินค้าในชุมชน เพื่อมีสินค้าหลากหลาย และยังนำสินค้าสดมาวางจำหน่าย  และ 5.การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ให้แก่สมาชิกผู้ประกอบการตลาดและร้านค้าชุมชนให้มีความสามารถในการต่อยอดกิจการสู่ความสำเร็จในยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีบริษัทประชารัฐรักสามัคคีช่วยดูแลด้านการตลาด เมื่อร่วมมือกันแบบเครือข่ายขนาดใหญ่จะมีอำนาจต่อรองสูงมากสามารถขายสินค้าดีกว่าตลาดทั่วไป บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ 5 แห่งจึงพร้อมมาร่วมมือ

นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า ภาคีจากทุกภาคส่วนกว่า 60 แห่ง  ร่วมกันออกแบบโครงสร้างทั้งระบบและขับคลื่อนทุกภาคีทุกภาคส่วนสู่เป้าหมายเดียวกัน  ควบคู่ไปกับการเร่งจัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของสมาชิกกองทุนทั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูง รวมถึงการคัดสรรสมาชิกที่มีศักยภาพสูงเพื่อต่อยอดให้เป็นต้นแบบความสำเร็จและสร้างแฟรนไชส์ขยายผลทั่วประเทศ  การพัฒนาเทคโนโลยีติดปีกสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล  เพื่อทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นกว่า 125,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงานให้ประชาชนในชุมชนกว่า 260,000 อัตรา.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง