ทำเนียบฯ 6 มี. ค. – นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เห็นชอบแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยาน เพื่อส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub) เพื่อปลดล็อคปัญหาต่าง ๆ ทั้งการเปิดให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยาน การเชื่อมโยงสนามบินทั่วประเทศ ทั้งสนามบินของภาคเอกชนบริหารจัดการเอง และบริษัทท่าอากาศยานดูแล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงแนวทางเดียวกัน ทั้งสนามบินหลัก คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง สนามบินภูมิภาค ป.ย.ป.จึงสั่งการให้เร่งรัดขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ หลังผ่าน ครม.แล้วเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ที่ประชุม ป.ย.ป.ยังเร่งรัดการตั้งคณะกรรมการพัฒนาอากาศยาน (พย.) โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับมอบหมายเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รองประธาน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ฝ่ายความมั่นคง เพื่อขับเคลื่อนอากาศยานของไทยรองรับการขนส่งผู้โดยสาร การขนสินค้า การสร้างอุตสหากรรมใหม่ การเร่งรัดการสร้างศูนย์ซ่อมอากาศยาน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานเร็ว ๆ นี้ เพื่อทำให้สนามบินทั้ง 39 แห่งประสานไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อ ป.ย.ป.เห็นชอบขับเคลื่อน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การขนส่ง ภาคการผลิต เนื่องจากสัดส่วนการสั่งซื้อเครื่องบินถึงร้อยละ 31 อยู่ในแถบเอเชียแปซิฟิก และไทยสั่งเข้ามาอีก 20 ปีข้างหน้า 12,820 ลำ ไทยมีศักยภาพและโอกาสเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค เนื่องจากมีเส้นทางการบินสูงถึง 139 เส้นทางบินตรงมายังไทย รัฐบาลแบ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานออกเป็น 3 กลุ่ม คือ สนามบินหลัก คือ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตระเภา มีแผนใช้เงินลงทุนพัฒนา 320,000 ล้านบาท ในช่วง 10 ปีข้างหน้า รองรับผู้โดยสารจาก 78 ล้านคน เพิ่มเป็น 160 ล้านคนต่อปี
สนามบินขนาดกลางมี 10 แห่ง ระดับจังหวัด 26 แห่ง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต กระะบี่ มีแผนใช้เงินลงทุน 70,000 ล้านบาท รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคน เพิ่มเป็น 89 ล้านคน สนามบินขนาดเล็กระดับจังหวัด เงินลงทุน 16,000 ล้านบาท รองรับผู้โดยสารจาก 17 ล้านคนต่อปี เพิ่มเป็น 28 ล้านคนต่อปี โดยจะเปิดให้ภาคเอกชนเข้าไปบริหารจัดการ เช่น สนามบินนครราชสีมา ชุมพร อำเภอปาย แพร่ น่าน แม่ฮองสอน เพื่อพัฒนาทุกสนามบินพร้อมกันและกำหนดให้พัฒนาสนามบินแบบกลุ่มจังหวัด จากเดิมแยกบริหารจัดการโดยอิสระ เพื่อรองรับการเดินทางผู้โดยสารทั้งประเทศเพิ่มจาก 130 ล้านคน เป็น 277 ล้านคน และยังต้องเพิ่มบทบาทให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.นอกจากภารกิจบริหารจัดการด้านการบินแล้วยังดำเนินกิจการโรงแรมและกิจการอื่นได้ เพื่อบริการครบวงจร ไม่ใช่บริหารการบินเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะกิจการคาร์โก้ ขนส่งสินค้าทางอากาศต้องการเพิ่มจาก 1.3 ล้านตันต่อปี เป็น 3 ล้านตันต่อปี
ป.ย.ป.จึงเห็นชอบให้เร่งขับเคลื่อนศูนย์กลางการซ่อมอากาศยาน ตั้งอยู่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจ เพื่อให้เป็นเขตปลอดใบอนุญาต ไม่เช่นนั้นจะแข่งขันกับสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ไม่ได้ เพราะหากผลิตสินค้าที่ไม่ได้ขายในประเทศ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต การปลดล็อคสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยร้อยละ 50 หากตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าไฮเทค สินค้ากลุ่มเป้าหมายไม่จำเป็นต้องควบคุมโดยคนไทย เพราะเมื่อบริษัทขนาดใหญ่ เช่น โรสลอยซ์ โบอิ้ง แอร์บัส มาลงทุน จากนั้นจะส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน จึงผ่อนปรนให้คนไทยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากนี้การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก การพัฒนาอากาศยานจะคืบหน้าไปมากในช่วง 3 เดือนข้างหน้า.-สำนักข่าวไทย