กรุงเทพ ฯ 8 ก.ค. – บล.เอเชีย พลัส ปรับประมาณการณ์จีดีพีปี 63 ติดลบ 8.4% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 ยังมีแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศ และสงครามการค้าจีนสหรัฐ พร้อมคาดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสถูกปรับลดลงอีก
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส กล่าวว่าภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ยังมีหลายปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่มีแรงกระตุ้นจากความตึงเครียดสถานการณ์จีน-ฮ่องกง
ขณะที่ในประเทศ แม้สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มดีมาก แต่ครึ่งปีหลังตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐที่ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเป็นติดลบ 8.4% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้คาดอยู่ในกรอบ 0.25% – 0.50% และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
พร้อมกันนี้ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 63 ที่ 688,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก พบว่ากำไรไตรมาส 1 อยู่ที่ 106,000ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของกำไรประมาณการทั้งปี คาดงวดไตรมาส 2 ทำกำไรได้เพียง 30%-40% ของประมาณการ ส่งผลให้ช่วงที่เหลือของปี บริษัทจดทะเบียนจะต้องทำกำไรเกินกว่า 60%-70% ของประมาณการ ซึ่งถือว่าท้าทายพอสมควร จึงมองว่ามีโอกาสที่กำไรบริษัทจดทะเบียนจะถูกปรับลดลงอีก สวนทางกับ SET Index ที่ปรับขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่ยิ่งปรับขึ้นไป ยิ่งไกลพื้นฐาน
ทั้งนี้นายเทิดศักดิ์ ระบุว่า สิ่งที่นักลงทุนกังวลไม่ใช่จำนวนผู้ติดเชื้อ แต่คือ การล็อคดาวน์ที่จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก
บล.เอเชีย พลัส แนะกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ให้เน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน และกลุ่มที่อิงกระแสการประมูลโครงการของรัฐ และมาตรการกระตุ้นการบริโภค เลือก BGRIM , CPF , CPALL , INTUCH , INSET และ SEAFCO พร้อมประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ในกรอบ 1,250 – 1,420 จุด
ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุนไตรมาส 3 แนะนำ 30%ลงทุนหุ้นในประเทศ 15% ลงทุนหุ้นต่างประเทศ 40%ลงทุนในตราสารหนี้ และที่เหลือลงทุนในตราสารทางเลือกใหม่ .-สำนักข่าวไทย
