กรุงเทพฯ 2 ก.ค. – ภาคเอกชนหนุนไทยเป็นสมาชิก CPTPP ชี้ผลดีมากกว่าผลเสียโดยเฉพาะญี่ปุ่น ระบุหากไทยร่วมจริงสนใจลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ความตกลง CPTPP ประโยชน์ ผลกระทบ และประสบการณ์จากประเทศภาคี” จัดโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. มีผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน และประเทศสมาชิกทั้งญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย มาบอกถึงประสบการณ์เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก โดยทุกประเทศคล้ายกับไทย เพราะส่วนใหญ่มีข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับประเทศสมาชิกเกือบทุกประเทศ แต่การเข้าร่วมก็ยังคงเกิดประโยชน์ทั้งเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุน และยอมรับว่ามีผลกระทบหลายเรื่อง แต่ทุกประเทศล้วนต้องการเพิ่มความสัมพันธ์และความแข็งแกร่งทางการค้าในยุคที่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
“การศึกษาผลดี-ผลเสียของเจรจาขอเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สภาผู้แทนราษฎร ที่จะครบกำหนดวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ จึงจะมีการขอขยายระยะเวลาการทำงานออกอีก 60 วัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้น แต่ภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้จัดทีมศึกษาประโยชน์และผลกระทบเช่นกัน เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งโมเดลในการพิจารณาแล้วด้วยเช่นกัน” นายสุพันธุ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมองว่า CPTPP ต่างกันสิ้นเชิงกับความตกลง TPP เดิม เพราะการถอนตัวของสหรัฐ ทำให้ประเด็นข้อกังวลสำคัญโดยเฉพาะทรัพย์สินทางปัญญาถูกถอนออกไปด้วย และแม้ยังมีข้อกังวลหลายประเด็น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเจรจา และหลายประเทศก็สามารถขอเวลาปรับตัวได้ เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม ก็ขอเวลาปรับตัว 8-10 ปี ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ซึ่งถึงเวลานั้นทุกประเทศก็จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาขึ้นอยู่แล้ว และ กกร.กำลังตั้งทีมศึกษาผลดี-ผลเสีย เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น และคาดว่าจะเสร็จภายในปีนี้ ก่อนจะเสนอเป็นอีกหนึ่งโมเดลให้กับทุกภาคส่วน ซึ่งจะไม่มีความซ้ำซ้อนกับทุกผลการศึกษาที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพราะจะเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศ ย้ำว่า ภาคเอกชนต้องการความชัดเจนในการเข้าร่วมเจรจา CPTPP เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นจะต้องปรับตัว เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ของโลก และมองว่า CPTPP เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งจากการหารือร่วมกับหอการค้าญี่ปุ่นในไทย หากไทยไม่เข้า CPTPP อาจจะย้ายฐานลงทุนจากไทยไปเวียดนาม ซึ่งเป็นสมาชิก CPTPP แทน
ส่วนการขยายระยะเวลาพิจารณาออกไป 60 วัน อาจจะทำให้ไทยสมัครเข้าร่วมเจรจาไม่ทันเดือนสิงหาคมนี้ ทำให้การยื่นขอเข้าร่วมเจรจาปีหน้ายากขึ้น จากเดิมเจรจาเพียง 7 ประเทศสมาชิกที่ลงสัตยาบันแล้ว แต่ปีหน้าอาจจะต้องเจรจาเพิ่มอีก 4 ประเทศ ที่กำลังจะลงสัตยาบรรณเป็นสมาชิก ทั้งนี้ ยืนยันว่ากระบวนการเจรจาจะใช้เวลายาวนานถึง 4 ปี ไม่ใช่สมัครแล้วเข้าได้เลย ดังนั้น จึงมีเวลาเจรจาและการปรับตัว แต่หากสุดท้ายเห็นว่าไทยเสียเปรียบหรือปรับตัวไม่ได้ ก็สามารถถอนตัวได้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ยังมีหลายประเด็นที่ต้องหารือเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าไทยจะขอเข้าร่วม CPTPP หรือไม่ เพราะต้องยึดความพร้อมของประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเด็นการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบที่มีการหยิบยกประเด็นการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมาไทยยังไม่มีกองทุน FTA โดยใช้งบประมาณจากการจัดสรร และจากการรับฟังความคิดเห็นถึงการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ก็ยังไม่ตรงกับความต้องการ จึงถือเป็นเรื่องดีที่จะมีการช่วยกันคิดใหม่ทั้งหมด.-สำนักข่าวไทย
