สำนักงานป.ป.ช. 1 ก.ค.-คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “ยิ่งลักษณ์” ใช้ตำแหน่งนายกฯ โดยมิชอบโอนย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” ตั้ง “พล.ต.อ.วิเชียร” แทน ให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์” ขึ้น ผบ.ตร. เตรียมส่งสำนวนให้ อสส.ฟ้องศาลฎีกานักการเมือง
นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ โดยเมื่อปี 2554 นายถวิลดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช. เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงของประเทศ เป็นที่ปรึกษา เสนอแนะนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติด้านความมั่นคงแห่งชาติต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ
รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า วันที่ 4 กันยายน 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์โทรศัพท์สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำเรื่องขอรับโอนนายถวิลมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ จากนั้นสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้บันทึกข้อความลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึงน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอนนายถวิล และมีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึงพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอน ซึ่งทั้งน.ส.กฤษณาและพล.ต.อ.โกวิทให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอนนายถวิล และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ อย่างไรก็ตาม เมื่อสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตรวจพบว่าวันที่ 4 กันยายน 2554 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการจึงแก้ไขบันทึกข้อความทั้งสองฉบับเป็นวันที่ 5 กันยายน 2554 ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
“วันที่ 6 กันยายน น.ส.ยิ่งลักษณ์อนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร และในวันเดียวกันคณะรัฐมนตรีได้ประชุมและลงมติรับทราบให้โอนนายถวิลตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีคำสั่งให้นายถวิลมาปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเร่งรีบรวบรัดแล้วเสร็จภายใน 4 วัน จากนั้นวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช. และวันที่ 19 ตุลาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นประธานประชุมกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) โดยเสนอชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายน 2555 และเป็นเครือญาติของตนเองดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทนพล.ต.อ.วิเชียร ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ” นายนิวัติไชย กล่าว
รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.992/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 33/2557 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิลจากตำแหน่งเลขาธิการสมช.มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำเป็นการลดบทบาทและอำนาจหน้าที่ลง โดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายถวิล ปฏิบัติหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
“ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 9/2557 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ว่าการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ซึ่งเป็นเครือญาติมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การกระทำทั้งหมดมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต เป็นเหตุให้นายถวิล ได้รับความเสียหาย เอื้อประโยชน์แก่พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาสำนวนไต่สวนแล้ว เห็นว่าการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริตตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192” นายนิวัติไชย กล่าว
รองเลขาธิการป.ป.ช. ล่าวว่า ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่น คณะกรรมการป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป พร้อมให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น พร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 76.-สำนักข่าวไทย