กรุงเทพ
3 มิ.ย.- ธปท.พอใจผลงานยา 2 ขนานของคลินิกแก้หนี้ คือให้สิทธิเลื่อนชำระหนี้
และลดดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้จ่าย ทำให้ NPL ไม่เพิ่ม ลูกหนี้ไม่หลุดจากโครงการ และลูกหนี้ 72%
มีภาระดอกเบี้ยลดลง
นางธัญญนิตย์
นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า โครงการคลินิกแก้หนี้ ซึ่งเป็นโครงการแก้หนี้เสียบัตรเครดิต
บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ
เพื่อรองรับผลกระทบจากวิกฤตโควิด 19 ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา
ผลของมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวถือว่าน่าพอใจ กล่าวคือ
ไม่มีลูกหนี้ต้องออกจากโครงการแม้สักรายเดียว ด้วยเหตุว่าผ่อนชำระค่างวดไม่ไหว
ในขณะที่ลูกหนี้ที่ชำระค่างวดเข้ามา โครงการได้ช่วยเหลือโดยการลดดอกเบี้ยให้ 2%
เพื่อลดภาระในช่วงนี้ อีกทั้ง
แนวทางช่วยเหลือของโครงการมีกระบวนการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เป็นตัวอย่างที่สถาบันการเงินอาจนำไปประยุกต์ในการออกแบบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในระยะต่อไปได้
นางธัญญนิตย์
เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มาตรการช่วยเหลือประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ
เปรียบเหมือนลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับยา 2
ขนานเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ยาชนิดแรกคือการผ่อนปรนให้สามารถเลื่อนงวดชำระ
ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 เดือนในช่วง เม.ย. – ก.ย. 2563
ยาชนิดที่สองคือการปรับลดดอกเบี้ยลง
2% เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย
และเป็นแรงจูงใจให้ผู้เข้าร่วมโครงการที่จ่ายค่างวดเข้ามาต่อเนื่อง
โดยดอกเบี้ยในช่วงนี้เหลือเพียง 2-3%
โครงการฯ
ผ่อนปรนเงื่อนไขให้สามารถจ่ายชำระเข้ามาเท่าที่ทำได้ เช่น ครึ่งหนึ่งของค่างวดที่เคยจ่าย
ในกรณีนี้ก็ยังได้รับสิทธิพิเศษเรื่องการลดดอกเบี้ย
ผลของมาตรการมีหลายส่วนน่าสนใจ กล่าวคือ
แม้จะให้สิทธิในการเลื่อนกำหนดชำระหนี้ หรือ ไม่ต้องจ่ายค่างวดแก่ลูกหนี้ทุกราย
ปรากฏว่ามีลูกหนี้เพียง 28% ที่เลือกมาตรการนี้ ในขณะที่ลูกหนี้ที่เหลืออีก 72%
ยังจ่ายค่างวดเข้ามาตามปกติ โดยลูกหนี้ 18% ชำระเข้ามามากกว่าค่างวด ส่วนใหญ่คือ
52% จ่ายค่างวดได้ครบ และมีเพียง 2% เท่านั้นที่จ่ายชำระได้เพียงบางส่วน
การออกแบบมาตรการช่วยเหลือที่ยึดลูกหนี้เป็นที่ตั้งคือ
คำนึงถึงปัญหา ความเดือดร้อน และข้อจำกัดของลูกหนี้
ช่วยให้โครงการสามารถตอบโจทย์ลูกหนี้ได้ทุกราย ทั้งรายที่ผ่อนไม่ไหวในช่วงนี้และรายที่สามารถจ่ายเข้ามาก็จะเสียดอกเบี้ยน้อยลง
ในขณะเดียวกันก็ช่วยตอบโจทย์เจ้าหนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะไม่มีลูกหนี้ที่ต้องกลายเป็นหนี้เสีย
และลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่มีความสามารถยังผ่อนชำระเข้ามาต่อเนื่อง
สำหรับประชาชนที่มีหนี้เสียบัตรเครดิต
บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ที่สมัครเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วง เม.ย. –
ก.ย. 2563 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 2% จากโครงการเช่นเดียวกัน โดยอัตราดอกเบี้ยที่
2-3% ถือว่าผ่อนปรนมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยบัตรปกติที่ 18%
“วิกฤติโควิด 19
ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือ ผ่อนปรนซึ่งกันและกัน
และการที่สถาบันการเงินและลูกค้าสามารถปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกัน
จะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากในระยะข้างหน้า” นางธัญญนิตย์ กล่าว
ทั้งนี้
ณ พฤษภาคม 2563 โครงการคลินิกแก้หนี้ สามารถช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้วกว่า 21,000 ใบ ครอบคลุมลูกหนี้ 4,204 ราย ซึ่งมีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 5
ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 340,000
บาท และขณะนี้มีลูกหนี้ที่รอลงนามในสัญญาอีกกว่า 800 ราย
เนื่องจากไม่สามารถเดินทางช่วง lockdown ที่ผ่านมา
และอีก 1,500 ราย
อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจเช็กข้อมูลกับสถาบันการเงิน คาดว่าครึ่งแรกของปี 2563
ตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการจะเกิน 5,000 ราย.-สำนักข่าวไทย