ไม่ได้กู้ แต่เป็นหนี้แบงก์เป็นล้าน ตะลึง ทำเป็นขบวนการ

ตรัง 28 พ.ค.-อดีตทหารบกข้าราชการบำนาญ จู่ๆ ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ธนาคารเกือบล้านบาท ทั้งไม่เคยยื่นกู้หรือทำธุรกรรมกับธนาคารดังกล่าวมาก่อน ถูกหักเงินเงินบำนาญเดือนละเกือบ 4 พันบาทมากว่า 1 ปี โดยไม่รู้ตัว เชื่อมีการทำเป็นขบวนการ


ที่บ้านในตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ร้อยตรี ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี พร้อมด้วยภรรยา นายสมควร จิตรแก้ว นายก อบต.นาโยงเหนือ ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน  ร้องเรียนผู้สื่อข่าวกรณี ร้อยตรี ทักษิณ ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ (อดีตเคยรับราชการทหารสังกัด กองทัพบก) ตกเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เกือบล้านบาท โดยที่ไม่เคยยื่นกู้ และไม่เคยเข้าไปติดต่อทำธุรกรรมใดๆกับธนาคารดังกล่าวมาก่อน 


โดยผู้เสียหาย เล่าว่า เคยรับราชการทหาร สังกัดกองทัพบก และเกษียณอายุราชการออกมาเมื่อเดือนตุลาคม 2560  โดยได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามปกติ โดยแต่ละเดือน ทราบว่า มีสิทธิ์ได้รับอัตราเงินบำนาญเดือนละ 41,321 บาท จากกรมบัญชีกลาง หักภาษีเดือนละ 399.38 บาท เงินที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย ต้นสังกัด เดือนละ 40,921.62 บาท  ซึ่งนับตั้งแต่เกษียณอายุราชการมา ประมาณวันที่ 23 ของทุกเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินบัญชีมาให้ / ตนเองก็จะกดเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มเท่าที่ความจำเป็นจะต้องใช้แต่ละเดือนเท่านั้น เงินที่เหลือไม่เคยสนใจเบิกเกินมา หรือไม่เคยตรวจเช็คยอดเงิน  เพราะพอถึงปลายเดือนเงินเข้าอีก ก็จะกดกับบัตรเอทีเอ็มตามจำนวนที่ต้องใช้อีก จึงไม่ได้สนใจใดๆ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครสามารถโกงเงินไปจากบัญชีได้  

แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างขนำภายในพื้นที่การเกษตร จึงได้ไปติดต่อที่สำนักงานสัสดี จังหวัดตรัง  เพื่อขอเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าเมื่อไปถึงได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่สัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้เงินไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์จะกู้ได้อีก ตนเองก็ตกใจ เพราะไม่เคยใช้สิทธิ์ยื่นกู้เงินมาก่อน จึงขอดูเอกสารหลักฐาน ก็พบว่ากรมบัญชีกลางหักเงินบำนาญไปทุกเดือนๆละ 3,950 บาท เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้ ในเอกสารระบุกู้เงินตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 เป็นเงิน 6 แสนบาท ระยะเวลาการกู้ 360 เดือน และถูกหักเงินมาแล้วเป็นเวลาประมาณ  1 ปี รวมยอดเงินแล้ว 47,400 บาท และพบว่าแต่ละเดือนเงินบำนาญที่เหลือจากการหักหนี้เงินกู้ เข้าบัญชีธนาคารทหารไทยของตนเพียงเดือนละ 36,971.62 บาท  ซึ่งไม่เคยสังเกตจำนวนเงินที่เข้าในบัญชี เพราะแต่ละเดือนจะถอนเงินจากธนาคารมาใช้ด้วยบัตรเอทีเอ็ม และเบิกจำนวนเดิมๆ ที่ต้องใช้แต่ละเดือนเท่านั้น 

ทั้งนี้ ได้ยืนยันกับสัสดีจังหวัดตรัง และเจ้าหน้าที่สำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง  กลับได้รับคำยืนยันว่าตนเองยื่นกู้จริง  และขอให้ยอมรับ อาจหลงลืมจำเหตุการณ์ไม่ได้  เพราะหลักฐานมีการกู้ยืมจริง 


จากนั้น ผู้เสียหายจึงได้เดินทางไปติดต่อที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ก็ได้รับตอบจากธนาคารว่า ตนเองมายื่นกู้จริง หลักฐานบัตรประชาชนก็ของจริง ซึ่งผู้เสียหายก็ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยมาที่ธนาคารดังกล่าวหรือทำธุรกรรมใดๆ ด้วย จากนั้นจึงขอดูเอกสารการกู้เงินจากธนาคาร และขอดูกล้องวงจรปิดในวันที่มากู้  ทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้ดูหลักฐานการกู้ โดยบอกว่าหลักฐานการกู้ตนเองได้รับไปแล้ว ส่วนกล้องวงจรปิดธนาคารก็ไม่ให้ดู แต่เปิดให้ดูลายเซ็น และบัตรประชาชนที่ใช้เป็นหลักฐานในการกู้จากคอมพิวเตอร์ว่า ก็ปรากฎเป็นของผู้เสียหายจริง แต่ผู้เสียหายยืนยันว่าตนเองไม่ได้มายื่นกู้ ลายเซ็น และบัตรประชาชนต้องมีคนปลอมขึ้นมาแน่นอน 

ทั้งนี้ ได้สอบถามอย่างละเอียด และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คนที่มากู้ในวันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า มา 2 คน เป็นผู้หญิง 1 คน (เป็นเจ้าหน้าที่มาจากสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง) และผู้ชายอายุประมาณ 30 ปีเศษอีก 1 คน  (แอบอ้างว่าเป็นตนเอง) โดยเจ้าหน้าที่สัสดี ผู้หญิงคนนั้น บอกกับเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า เป็นบุตรบุญธรรมของผู้เสียหาย แล้วธนาคารก็ให้กู้ไป พร้อมกันให้เปิดสมุดบัญชีใหม่ และทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ในนามชื่อผู้เสียหายไปด้วย พร้อมให้เบอร์ติดต่อคนที่สามารถติดต่อได้กับธนาคารไว้ 1 คน เมื่อโทรสอบถามพบว่า คนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ผู้เสียหายเล่าว่า ทางธนาคาร บอกว่า ตนเองมากู้จริง ก็ยอมรับเถอะ และยังพูดจาบังคับให้ตนเองใช้คืนเงินกู้ดังกล่าวให้หมดโดยเร็ว 

ผู้เสียหายได้เดินทางเข้าแจ้งความกับ สภ.เมืองตรัง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีโดยไม่ได้ระบุตัวบุคคล แต่ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม พอจะทราบบุคคลเบื้องต้น 1 คน จึงได้เข้าแจ้งความใหม่ พบเป็นลูกจ้าง ประจำสำนักงานสัสดีจังหวัด ชื่อ นางสาวพชร จันทร์ดำ พร้อมพวก เพื่อให้ตำรวจสอบสวน ดำเนินคดีให้ได้ทั้งหมด

สำหรับ ขั้นตอนทั่วไปในการขอยื่นกู้เงินดังกล่าวตามสิทธิ์นั้น ร.ต.ทักษิณ กล่าวว่า หลักฐานส่วนบุคคลของตนเอง ครอบครัว บิดามารดา เหมือนข้าราชการที่ยังทำงานปกติ จะอยู่ในสารบบสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง สามารถคัดลอกเอาออกมาได้ทั้งหมด  ส่วนหนังสือรับรองจากคลังจังหวัด สามารถลิงค์ข้อมูลขอออกมาได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ จะต้องแสดงตัวตนของคนที่จะกู้ พร้อมเอกสารหลักฐาน  แต่ปรากฎว่า มีการทำเหมือนจริงทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน แต่ว่าทุกอย่างปลอมหมด แม้แต่บัตรประชาชน สุดท้ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากหัวหน้างานคือ สัสดีจังหวัดตรังแล้ว ก็ส่งตรงไปยังกรมบัญชีกลาง ซึ่งเชื่อว่ากรมบัญชีกลางคงตรวจสอบแล้วว่าหลักฐานพร้อม ถูกต้องตามระเบียบ คงไม่ทราบว่ามีการปลอมแปลงกันมาเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนตัวจึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะต้องทำเป็นขบวนการ จะต้องมีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคน 

ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์  กล่าวว่าเป็นตัวอย่างที่น่ากลัวมาก เพราะมีการปลอมทั้งหมด แม้แต่บัตรประชาชน จึงขอเตือนให้ข้าราชการบำนาญทุกคน หมั่นตรวจเช็คสถานะส่วนบุคคลของตนเองให้ดี เกรงจะเกิดเหตุการณ์เป็นหนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกับตนเองได้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยืนยัน ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ เตรียมยื่นเรื่องไปที่ “ยูเอ็น”

19 ก.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันผลตรวจสอบทุ่นระเบิดบริเวณเนิน 481 เป็นของใหม่ พบในเขตประเทศไทย คาดยังมีอีกกว่าร้อยลูกในพื้นที่ วันนี้ ที่กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี เมื่อเวลา 15.30 น. พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นำแถลงผลการตรวจสอบทุ่นระเบิด บริเวณเนิน 481 จ.อุบลราชธานี โดย พันเอกสมโชค จันทาสี ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ระบุว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจำนวน 7 นาย โดยจุดแรกที่เจอได้มีการวางจำนวน 3 ทุ่น ลักษณะการวางผิวดิน รัศมีห่างกัน 40 เซนซิเมตร มีใบไม้ปกคลุม ส่วนจุดที่ 2 เจอจำนวน 5 ทุ่น รัศมีการวางกระจัดกระจาย รวมที่พบทั้งหมดจำนวน 8 ลูก ซึ่งจากการกู้ระเบิดทั้ง 8 ลูก ทุ่นระเบิดมีความใหม่ ตัวอักษรชัดเจน เพราะถ้าเป็นของเก่าจะมีวัชพืชปกคลุม […]

“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน”

วัดบ้านไร่ 19 ก.ค.-“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน” หวั่นโดนอัดเทปซ้ำรอย ชี้หากพิสูจน์ได้ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิดใหม่ต้องประท้วงตามกติกา ซัดหากเล่นนอกบทต้องดำเนินการ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารพรานถูกเหยียบทุ่นระเบิด ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีกระแสข่าวว่ากว่า 80% จากการตรวจสอบเป็นระเบิดใหม่ว่า ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกัน ถ้าไม่คุยกันอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดี และขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่าเป็นระเบิดใหม่หรือเก่า ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แต่ล่าสุดกระแสข่าวจากภาคสองยืนยันว่ากว่า 80% เป็นระเบิดใหม่ นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องประท้วงตามกติกา และประท้วงเสร็จก็ต้องมาคุยกันทั้งสองฝ่าย ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ฝั่งกัมพูชามักเล่นนอกเกมบ่อยๆ เราต้องรับมืออย่างไร นายทักษิณ ระบุว่าก็ว่ากันไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าเขาทำอะไรที่นอกกติกา เราก็ต้องดำเนินการ เมื่อถามว่าถ้าพิสูจน์ได้แล้วเป็นเรื่องจริง จะร้ององค์กรโลกหรือไม่ เนื่องจากมีสนธิสัญญาออตตาวา ว่าด้วยเรื่องทุ่นระเบิด นายทักษิณ ระบุว่าที่จริงแล้ว เรามีสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ไม่ได้หยิบขึ้นมาใช้ เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะไม่เจรจาโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่าไม่มีอีกแล้ว เพราะกลัวโดนอัดเทปเหมือนกัน.-313.-สำนักข่าวไทย

ศบ.ทก. เรียกถกด่วนพรุ่งนี้ นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น

กทม. 19 ก.ค.-ศบ.ทก.เรียกถกด่วน 20 ก.ค. หารือ กต. นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา พร้อมส่งทหารช่าง ปูพรมเก็บกู้วัตถุระเบิดช่องบก พื้นที่อธิปไตยไทย 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เตรียมนัด ศบ.ทก.ประชุมในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา14.00 น. กำหนดแนวทางการดำเนินการ กรณีกำลังพลจากหน่วยร้อย ร.6021 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบกและประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ซึ่งจากหลักฐานพลว่าเป็นการวางกับระเบิดใหม่นั้น เบื้องต้น พล.อ.ณัฐพล ได้สั่งการกองทัพภาคที่2 เก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด พร้อมให้แถลงข่าว และรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ทราบ เนื่องจากต้องเก็บทุกอย่างเป็นหลักฐาน เพื่อส่งให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป โดยในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จะมีกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาร่วมประชุม ศบ.ทก.ด้วย เพื่อมาให้คำแนะนำว่าขั้นตอนต่อไปในการดำเนินการ ควรจะทำอย่างไร ร่วมถึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐานของแต่ละฝ่ายว่าตรงกันหรือไม่ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะแถลงเป็นทางการ ในการประชุม ศบ.ทก. 21 ก.ค.นี้ […]

สำนักพุทธฯ สั่งเข้มทุกวัด เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส.

19 ก.ค.-สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ ให้เร่งดำเนินการจัดทำบัญชีเงินฝาก รายรับ-รายจ่าย และงบดุลของวัด ให้ถูกต้องและเป็นระบบ ตามมติมหาเถรสมาคม ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยการเปิดบัญชีและการเบิกถอนเงินฝากธนาคารของวัด จะต้องเปิดกับธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเดียวกับวัด และระบุชื่อบัญชีเงินฝากเป็นชื่อวัดเท่านั้น โดยมีรายชื่อผู้มีอำนาจถอนเงินอย่างน้อย 3 คน ซึ่งในการถอนเงินต้องมีผู้ลงนามจำนวน 2 ใน 3 และมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง โดยใช้ใบถอนเงินของธนาคารและสมุดบัญชีเท่านั้น ในส่วนของบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้รายงานบัญชีของวัดทุกบัญชี สรุปเป็นรายเดือน จำนวน 12 เดือน ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ภายในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ นอกจากนี้ทุกวัดควรพิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ร่วมด้วย เพื่อแสดงข้อมูลบริจาคที่ครบถ้วน และให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ติดตามอย่างเคร่งครัด โดยสำนักพระพุทธศาสนาฯ จะกำกับดูแล หรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบบัญชี และรายงานการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคมทราบ.-สำนักข่าวไทย