รัฐสภา 28 พ.ค.-“รังสิมา” ระบุยังมีคนตกหล่นจากการเยียวยาของรัฐบาล ห่วงจะมีตัวเขมือบเล็งโกงเงินกู้มหาศาล ขอนายกฯ จริงจัง หนุนตั้งกมธ. ตรวจสอบการใช้งบ ด้านฝ่ายค้านระบุรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ จี้ยกเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพระราชกำหนดเกี่ยวกับการกู้เงิน 3 ฉบับ โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่การพิจารณาได้มีข้อหารือจากสมาชิก นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร พลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการกิจการสภา ชี้แจงการเข้าออกและการอำนวยความสะดวกของสมาชิก เรื่องสถานที่จอดรถที่จัดเตรียมไว้ให้เฉพาะสมาชิก พร้อมขอให้เข้ารับประทานอาหารในห้องอาหารเป็นรอบ ๆ ซึ่งได้จัดเว้นระยะห่างไว้และจะทำความสะอาดทุกๆ 2 ชั่วโมง
จากนั้น นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ชี้แจงกรอบเวลาการอภิปรายเมื่อวานนี้(27 พ.ค.) ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านใช้เวลา 4 ชั่วโมง 14 นาทีเท่ากัน บรรยากาศเป็นไปด้วยความราบรื่น พร้อมกล่าวถึงสถานที่จอดรถของสมาชิกที่ยังมีความสับสน จึงขอให้ติดตั้งป้ายทางเข้าออกของรถให้ชัดเจน
ขณะที่นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย เสนอขอให้จำกัดบุคคลไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาภายในรัฐสภา เพราะเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย
นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย อภิปรายชมเชยคนไทยทั้งประเทศที่ให้ความร่วมมือกันอย่างดีในการควบคุมโรคโควิด-19 แต่เป็นนโยบายที่เป็นความผิดพลาดของรัฐบาล โดยเฉพาะกลไกทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลปล่อยให้มีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การชกมวย ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดและกระจายทั่วประเทศ และรัฐบาลหละหลวมในช่วงแรก อีกทั้งยังปล่อยให้ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนกระทั่งปิดกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้เสนอยุทธการ 21 วันสยบโควิด คือการปิดประเทศ ไม่ให้ผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาอย่างเด็ดขาด และเปิดปฏิบัติการค้นหาผู้ติดเชื้อในประเทศแบบปูพรม นำผู้ติดเชื้อรายใหม่มาเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะทำให้เรื่องต่าง ๆ จบเร็ว คนป่วยน้อย เสียชีวิตน้อย โรงพยาบาลรับมือได้ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ ทั้งที่ผู้นำประเทศต้องมีวิสัยทัศน์แก้ไขปัญหา ต้องสร้างสมดุลระหว่างมาตรการทางการแพทย์และมาตรการทางเศรษฐกิจ
“ส่วนที่รัฐบาลจะกู้เงิน เป็นการกู้เงินที่ขาดยุทธศาสตร์การทำงาน เพราะเพิ่งจะสอบถามผู้บริหารที่อยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ว่าต้องการและขาดเหลืออะไร ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้เป็นเบี้ยหัวแตก ดังนั้น ขอให้รัฐบาลทุ่มงบประมาณและบริหารจัดการเพื่อยกระดับการสาธารณสุขของไทยให้เป็นระดับโลก และขอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที เพราะไม่มีเหตุผลที่จะคงไว้ แต่ควรบังคับใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อแทน” นายสุรวิทย์ กล่าว
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายพระราชกำหนด 3 ฉบับ เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 โดยชี้ถึงความจำเป็นต้องกู้เงิน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่เป็นไปเพื่อรักษาชีวิต ถ้าไม่ใช้ยาแรงแล้วคนเสียชีวิตมาก เศรษฐกิจจะยิ่งเสียหายมากกว่านี้ จึงจำเป็นต้องใช้ยาแรง ซึ่งทุกภาคส่วนร่วมใจกันจนประสบความสำเร็จ และขอบคุณบุคลากรด้านสาธารสุขและมาตรการที่ออกมา ส่วนพระราชกำหนดทั้ง 3 ฉบับ สภาฯ ไม่สามารถปรับลดเม็ดเงินได้ แต่สามารถแนะนำการใช้งบประมาณ
นายโสภณ อภิปราย พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยชี้ว่า งบประมาณแก้ไขปัญหาการระบาดไม่เกิน 45,000 ล้านบาท น้อยเกินไป ซึ่งการทำวัคซีนต้องใช้เงินจำนวนมาก และควรเพิ่มงบค่าตอบแทนให้อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) ส่วนการเยียวยา ขอให้สำรวจกรณีตกหล่นไม่ได้รับการเยียวยา เพราะเข้าไม่ถึงระบบออนไลน์ เพื่อให้ได้รับการเยียวยาทุกกลุ่ม
“ส่วนแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ดูไม่มีรายละเอียด ที่ผ่านมามีโครงการเงินกู้ไทยเข้มแข็งที่สามารถพัฒนาระบบเศรษฐกิจได้ ต้องทำให้มั่นใจว่างบประมาณจะลงไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน แหล่งน้ำ เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศให้เป็น อย่ายัดเยียดโครงการที่ไม่พร้อมให้ชุมชน แต่ต้องเอาฐานจากชุมชนเป็นหลัก หวังว่าจะนำงบประมาณทั้งหมด 1.9 ล้านล้านไปใช้ให้เกิดประโยชน์” นายโสภณ กล่าว
น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในฐานะพยาบาลเก่า ขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญบรรจุเพิ่มอัตราพยาบาล ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่เชื่อฟังแพทย์และพยาบาล จนทำให้ประชาชนทั้งประเทศมีความเชื่อถือ นับถือ ศรัทธาในวิชาชีพสาธารณสุข ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของคนต่างชาติ รวมถึงเป็นขวัญกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ แต่ฝากให้รัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดูแลกรณีตกหล่นที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือบรรจุตำแหน่ง เพราะการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานเป็นทีม จึงจะประสบผลสำเร็จ ส่วนอสม.ทำงานเป็นที่ชื่นชม ทำให้โรคไม่กระจายมากไปกว่านี้ ประชาชนเจ็บป่วยน้อยลง จึงเห็นด้วยที่จะมีเงินโบนัส ให้กำลังใจทำหน้าที่ต่อไป
น.ส.รังสิมา กล่าวว่า ไม่อยากให้รัฐบาลเอาเงินกู้ไปทำในสิ่งที่ไม่เกิดผลหรือนอกวัตถุประสงค์ จึงอยากให้ใช้ประโยชน์สูงสุด เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งตนประสานของบประมาณทางการแพทย์มาก็ไม่มีให้ อยากให้ไปดูแต่ละโรงพยาบาล ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดสมุทรสงคราม สิ่งไหนขาดต้องดูแล การช่วยเหลือของรัฐบาลยังตกหล่นเยอะ คนที่เข้าไม่ถึงระบบออนไลน์ ไม่มีโทรศัพท์ ต้องเก็บตกให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงจะไม่ถูกประชาชนด่า รวมถึงดูแลคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ร้องเรียนมาว่าเงินหมด ไม่สามารถกลับประเทศได้ เพราะมีคิวอยู่หลายพันคน จึงขอให้เพิ่มจำนวนคนกลับประเทศให้มากขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะกรณีเจ็บป่วย กินยารักษาต่อเนื่อง ให้กลับมาก่อน
“ไม่เห็นด้วยที่จะนำงบประมาณไปให้กับโครงการที่ของบประมาณไม่ได้ในปีที่แล้ว โดยควรจัดสรรให้กับกรณีที่มีความจำเป็นก่อน โดยรวมเห็นด้วยกับการกู้เงิน แต่ไม่เห็นด้วยกับการมีตัวเขมือบโครงการ เช่น ซื้อของแพง เอาวิกฤติเป็นโอกาสของนักการเมืองขี้โกง ขอให้มีอันเป็นไป แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำงานล่าช้ามาก ไม่ทันใจ เงินกู้มหาศาล ตัวเขมือบจะเข้ามาเยอะ อยากให้นายกรัฐมนตรีเอาจริงเอาจังกับตัวเขมือบทั้งหลายให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ไม่ต้องเกรงใจ และควรตั้งคณะกรรมาธิการมาตรวจสอบการใช้เงินโครงการต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน” น.ส.รังสิมา กล่าว.-สำนักข่าวไทย