รัฐสภา 27 พ.ค. -นายกรัฐมนตรี ชี้แจง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ เพื่อรับมือฟื้นฟูและเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศจากผล กระทบโควิด-19 ย้ำโปร่งใส ทั่วถึง เป็นไปตามระเบียบวินัยการเงินการคลัง ไม่กระทบหนี้สาธารณะ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลักการและเหตุผลในการเสนอพระราชกำหนดกู้เงิน 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1.พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2. พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 3.พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยมาตรการควบคุมระยะการแพร่ระบาดของรัฐบาลและประเทศ อื่นๆ อาทิ มาตรการจำกัดพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด มาตรการระยะห่างทางสังคม ทำให้ภาวะทางเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะงักงัน หดตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว กระทบเศรษฐกิจไทยปี 2563 ไตรมาสแรกติดลบร้อยละ 1.8 โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่กลางเดือนมกราคม จากมาตรการควบคุมการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลงร้อยละ 38 จากไตรมาสที่ 1 ปีที่แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สถานการณ์เริ่มระบาดหนักตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องปิดพื้นที่เพื่อลดการเคลื่อนย้ายคน และเว้นระยะห่างทางสังคม ปิดสถานประกอบการ ปิดสถานบริการ รวมถึงสนามบิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของประชาชนในทุกสาขาอาชีพ กระทบรายได้ลดลงถึง 9.28 แสนล้านบาท คนว่างงานสูงขึ้นนับล้านคน โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ GDP ปี 2563 ติดลบที่ร้อยละ 5- 6 คาดว่าไตรมาส 2 จะปรับตัวลดลงรุนแรงมากขึ้นกว่าไตรมาสแรก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม รัฐบาลพยายามทุกวิถีทางบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบงบประมาณที่มีอยู่ปัจจุบัน ทั้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 งบกลางใช้จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การปรับแผนใช้จ่ายงบประมาณ และการจัดทำแผนร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย 2563 แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อสถานการณ์แพร่ระบาดและช่วยเหลือเยียวยาประชาชน จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหยุดยั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะการสร้างความพร้อมด้านสาธารณสุขเพื่อรองรับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น การเยียวยาประชาชนเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคม หลังสถานการณ์แพร่ระบาดสิ้นสุดลง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวประมาณการว่าต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน 1 ล้านล้านบาท จึงไม่สามารถใช้งบประมาณตามวิธีงบประมาณปกติหรือกู้เงินตามระบบปกติได้ จำเป็นต้องตรา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะความมั่นคงทางเศรษฐกิจและป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การใช้งบประมาณโดยรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ความคุ้มค่าและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินกู้ ซึ่งรัฐบาลกำหนดหลักการสำคัญสอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ให้กระทรวงการคลังโดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงินหรือออกตราสารหนี้ไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2564 ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานหรือโครงการตามบัญชีท้ายพระราชกำหนด 3 แผนงานหลักได้แก่ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ ได้รับผลกระทบ วงเงิน 555,000 ล้านบาท และแผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบ วงเงิน 400,000 ล้านบาท และกำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ทำหน้าที่กลั่นกรองแผนงานก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ กำกับดูแลการดำเนินโครงการ และรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่ออกตามคำแนะนำของคณะกรรมการ และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินนำเสนอต่อรัฐสภาภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดช่วงต้นปีมาถึงกลางปี 2563 เป็นการระบาดที่รุนแรงมากที่สุดในรอบ 100 ปี ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก จึงมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมระยะที่ 1 ระยะที่ 2 เป็นมาตรการช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของประชาชน ทั้งพักชำระหนี้ให้ประชาชน มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการ ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ลดค่าน้ำค่าไฟ ขยายเวลาชำระค่าไฟ คืนเงินประกันค่าใช้ไฟฟ้า ชะลอการจ่ายภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ และชดเชยรายได้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การตรา พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ มีวัตถุประสงค์ด้านสาธารณสุข การเยียวยาประชาชน และผู้ประกอบการ เพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจหรือการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำซอฟโลน มีการกำหนดเพดานเงินกู้ ยืนยันว่าจะกระจายให้ผู้ประกอบการรายเล็กอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องตรา พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังการแพร่ระบาด จึงต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจให้กับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และสอดคล้องการเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ การกู้เงินวงเงิน 1 ล้านล้านบาท กระทบสัดส่วนหนี้สาธารณะร้อยละ 57.96 ไม่เกินกรอบบริหารหนี้สาธารณะที่ร้อยละ 60 จึงจะเน้นการกู้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลัก กำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกู้โดยกลไกจากคณะกรรมการกลั่นกรอง ต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดเท่านั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน.-สำนักข่าวไทย