ดีอีเอสเตรียมทำแอปใหม่เตือนเช็กเอาท์หลังใช้บริการร้านค้า

ทำเนียบรัฐบาล 27 พ.ค.-โฆษก ศบค.เผยตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 9 ราย กลับจากต่างประเทศทั้งหมด ไม่เสียชีวิตเพิ่ม ขออาชีพกลุ่มเสี่ยงดูแลสุขลักษณะเข้มงวด ป้องกันติดเชื้อ ดีอีเอสเตรียมทำแอปใหม่เตือนเช็กเอาท์หลังใช้บริการร้านค้า


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (27 พ.ค.) ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่  9 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3,054 ราย รักษาหาย 2,931 ราย รักษาอยู่ 66 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 57 ราย ซึ่งผู้ป่วยใหม่ 9 รายทั้งหมดเดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ โดย 2 รายแรก เป็นชายไทย อายุ 18 และ 27 ปี กลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เข้าพักในสถานที่ที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี และตรวจพบเชื้อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยไม่มีอาการ

“รายที่ 3 เป็นชายไทยอายุ 34 ปีอาชีพพนักงานนวด กลับมาจากประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม เข้าพักในสถานที่ที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดสมุทรปราการ มีอาการไข้ 38 องศาเซลเซียส ไอ จมูกไม่ได้กลิ่น ตรวจพบเชื้อวันที่ 25 พฤษภาคม อีก 6 รายเป็นนักศึกษาชายอายุ 23 ถึง 33 ปี กลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ผ่านเข้ามาทางด่านปะดังเบซาร์เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม เข้าพักในสถานที่ที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดสงขลา 3 คน ยะลา 1 คน ปัตตานี 1 คน และนราธิวาส 1 คน ตรวจพบเชื้อวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งอาจจะปิดด่านปะดังเบซาร์ เนื่องจากมีผู้ป่วยเดินทางผ่านแดนเข้ามา เพื่อทำความสะอาดจุดต่าง ๆ” โฆษกศบค. กล่าว


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยยืนยันสองสัปดาห์ล่าสุด จำแนกตามปัจจัยเสี่ยงพบว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันของรัฐจำนวน 15 ราย สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า 8 ราย และไปสถานที่ชุมชน เช่นตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 4 ราย สำหรับผู้ป่วยบางราย พบว่าไม่มีอาการเมื่ออยู่ในสถานกักกันตัวของรัฐ แต่ตรวจพบในวันที่ใกล้ครบกำหนด 14 วัน แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีมาตรการเปลี่ยนแปลงการกำหนดระยะเวลาการกักกันตัว โดยยังคงอยู่ที่ 14 วันเช่นเดิม และจะตรวจหาเชื้อทั้งก่อนเข้าและออกจากสถานกักกันตัวของรัฐ ส่วนอาชีพของผู้ป่วยที่พบว่าเป็นพนักงานนวดตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกัน ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงปานกลางไปถึงสูง ดังนั้น ผู้ให้บริการจะต้องดูแลป้องกันสุขลักษณะอย่างเข้มงวด 

โฆษกศบค. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 5,684,795 ราย เสียชีวิต 352,225 ราย สหรัฐอเมริกาพบติดเชื้อมากที่สุด  1,725,275 ราย  ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 77 ของโลก ส่วนประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ รัฐบาลอังกฤษจะอนุญาตให้เปิดร้านค้า ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เปิดทางให้ธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง


“รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มรายชื่ออีก 11 ประเทศที่ห้ามประชาชนในประเทศดังกล่าวเดินทางเข้าสู่ญี่ปุ่น ได้แก่ อินเดีย อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ อัฟกานิสถาน บังคลาเทศ เอลซัลวาดอร์ กานา กินี เคอร์กิสถาน ปากีสถานและทาจิกิสถาน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมออกคำเตือนไม่ให้ชาวญี่ปุ่นเดินทางไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าวด้วย นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศแล้ว โดยจะประเมินสถานการณ์การติดเชื้อทุก 3 สัปดาห์” นพ.ทวรศิลป์ กล่าว

โฆษกศบค. กล่าวว่า ส่วนอินโดนีเซียมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจกว่า 340,000 นายใน 4 จังหวัดออกปฏิบัติการควบคุมการใช้กฎข้อบังคับ ให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากที่พักและการเว้นระยะห่างทางสังคม หลังมีรายงานว่าประชาชนจำนวนมากออกมาเลือกซื้อสินค้าตามตลาดและร้านค้า เพื่อเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ที่เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 36 รายที่มาจากศูนย์กระจายสินค้าออนไลน์คูปัง ที่เมืองบูชอน ทางตะวันตกของกรุงโซล และคาดว่าตัวเลขน่าจะเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ต้องตรวจโรคพนักงานกว่า 3,600 คน

“การยกตัวอย่างของต่างประเทศ ไม่ได้เป็นการขู่ประชาชน แต่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้ว่าในอนาคตหากผ่อนคลายมาตรการแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากทุกคนเรียนรู้ไปพร้อมกัน จะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งประชาชนมีสุขภาพดีและบุคลากรทางการแพทย์จะได้ทำงานน้อยลง” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

โฆษกศบค. กล่าวถึงการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ผ่าน www.ไทยชนะ.com ว่า การใช้งานของวานนี้(26 พ.ค.) เวลา 21.00 น. พบว่ามีร้านค้าลงทะเบียน 116,175 ร้าน  มีผู้ใช้งาน 13,769,194 คน มีผู้เช็กอิน 34,827,852 คนและเช็กเอาท์ 23,563,704 คน และมีการประเมินร้านค้า 13,567,825 คน ส่วนห้าประเภทกิจการที่มีรายงานคะแนนสูงสุด ได้แก่ การถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ร้อยละ 4.98 คลินิกเสริมความงาม  ร้านเสริมสวย ร้อยละ 4.98 บริการทางการแพทย์ ร้อยละ 4.97 พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดร้อยละ 4.97 สถานที่บริการเด็กหรือผู้สูงอายุร้อยละ 4.96 

“ปัญหาการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะที่มีประชาชนเช็กอินและลืมเช็คเอาท์ เบื้องต้นทางกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) จะทำแอปพลิเคชันขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนลงทะเบียนและเมื่อสแกนคิวอาร์โค้ดในการเช็คอินแล้วจะมีระบบเตือนประชาชนไม่ลืมเช็คเอาท์” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย       

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ถก สมช.-ครม.นัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิง

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” ตั้งเกณฑ์วัดความจริงใจกัมพูชา 3 ระดับ บอกผ่าน GBC ระดับเลขาฯ แล้ว เบื้องต้นบรรลุข้อลงหยุดยิง ตามข้อเสนอ 8 ข้อ ขอรอดูปฏิบัติจริง ย้ำ MOU43 ยังมีประโยชน์เป็นข้ออ้างกล่าวหาเขมรได้-ขอสบายใจ ยึดประโยชน์ชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีรัฐพิเศษเพื่อที่จะรับรองข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ภายหลังคณะเลขานุการ GBC ไทย ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อหารือในวงเล็กมาก่อนหน้านี้ โดยบรรยากาศการประชุมมีบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอาทิ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงคณะเลขานุการ GBC เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พลเอกณัฐพล เปิดเผยก่อน การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย