กรุงเทพฯ 27 พ.ค..- อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เผยยังคงต้องพิจารณาในรายละเอียดว่า ตา-ยายของเด็ก2ขวบ(อิ่มบุญ)มีความเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ และยังมีขั้นตอนอีกหลายประการที่ทำให้ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า ใครจะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์รับเด็กไปเลี้ยง หลังครบกำหนด6เดือน ตามคำสั่งศาล
นาง สุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เปิดเผยถึงกรณี ใครจะเป็นผู้ที่มีอำนาจรับเลี้ยงดู เด็ก2ขวบ ต่อจากความดูแลของกรมกิจการเด็กฯ ว่าหากครบกำหนด6เดือน ตามคำสั่งศาลที่ให้ความคุ้มครอง รวมทั้งการพิสูจน์ดีเอ็นเอก็ยืนยันว่า เด็กและแม่ปุ๊กเป็นแม่ลูกกันก็ตาม ยังคงต้องพิจารณาในรายละเอียดว่า ตา ยายมีความเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ มีศักยภาพในการเลี้ยงดูเด็กหรือไม่ ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และยังมีขั้นตอนอีกหลายประการ ที่ทำให้ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า ผู้ที่มีสิทธิ์รับเด้กไปเลี้ยงจะเป็นใคร ส่วนสภาพร่างกายและจิตใจของ เด็กดีขึ้นมาก กินข้าวได้ และต้องมีการฝึกเดินบ้างเนื่องจากที่ผ่านมา น้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ และน้องก็ไม่ได้ถามหาคนทางบ้านแต่อย่างใด
นาง สุภัชชา ยังกล่าวถึงกรณีนี้ ที่เป็นการรับบุตรบุญธรรมระหว่างกันเอง หรือยกเด็กให้กันเองโดยไม่มีใครรู้เห็นด้วย ซึ่งถือว่ามีผลเสียอย่างมาก
“แม้เป็นเจตนาที่ดี ของผู้เป็นแม่ที่มองว่า คนที่ตนยกลูกให้จะสามารถเลี้ยงลูกตัวเองได้ดีก็ตาม แต่ไม่มีเหตุผลมารองรับว่า คนที่เรายกลูกให้จะเลี้ยงลูกเราได้ดีอย่างที่เราคิดหรือไม่ เพราะฉะนั้นวิธีที่ถูกต้องและเกิดความมั่นใจในการยกบุตรบุญธรรม น่าจะเป็นวิธีที่มีขั้นตอน-กระบวนการ ของการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ผ่านกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพราะผู้เป็นแม่จะมั่นใจได้ว่า คนที่จะรับลูกไปดูแลต่อนั้นจะสามารถเลี้ยงลูกตัวเองได้เป็นอย่างดี” นางสุภัชชากล่าว
ส่วนเหตุผลที่ยังมีบางคนนิยมยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมกันเองโดยไม่ผ่านกระบวนการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมนั้น อาจเป็นขั้นตอนระยะเวลาที่ ใช้เวลานานเกือบปี ซึ่งในความเห็นส่วนตัวมองว่ากระบวนการที่ใช้เวลานาน หมายถึงความรอบคอบที่ต้องทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง มีเหตุผล
เริ่มตั้งแต่การยื่นหลักฐานขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งต้องใช้เวลา ในการตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่จะลงเยี่ยมบ้านอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อดูว่าครอบครัวที่จะรับเด็กไปเลี้ยงมีความพร้อมหรือไม่ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ความรักความผูกพันที่มีในครอบครัวเป็นอย่างไร มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรือไม่ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ต้องศึกษาอย่างละเอียด
จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณารับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยมีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น // จากนั้นจะมีการทดลองเลี้ยงดูเป็นระยะเวลา 6เดือน เพื่อดูว่าครอบครัวที่รับเด็กไปเลี้ยง จะสามารถเลี้ยงดูเด็กได้ดีหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้มีเวลาอย่างน้อยเกือบ 1 ปีทำให้หลายคน คิดว่าเป็นการเสียเวลาและช้า จึงใช้วิธีการยกลูกให้กันเอง
นาง สุภัชชา กล่าวด้วยว่าในความเห็นส่วนตัว วิธีการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเป็นขั้นตอนที่ดีแล้วไม่สมควรต้องปรับเปลี่ยนอะไร เพราะการที่จะให้เด็กไปอยู่กับใครต้องมีกระบวนการที่สร้างความมั่นใจ สามารถรับประกันชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่จะต้องเข้าไปอยู่ในความดูแลของอีกครอบครัวที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน คงไม่ได้ดูกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ระยะเวลาทดลองเลี้ยงดู 6 เดือนถือเป็นความเหมาะสมที่จะสามารถพิจารณายกเด็กให้ไปอยู่กับครอบครัวนั้นๆได้ เพราะชีวิตคนไม่ใช่สิ่งของ ซึ่งจากสถิติมีการกระบวนการรับบุตรบุญธรรม คงที่เท่าๆกันทุกปี ประมาณปีละ 2000 คน .-สำนักข่าวไทย
