กรุงเทพฯ 27 พ.ค.-อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย พบตัวแทนภาคประชาชนทุกสาขาอาชีพ เตรียมตั้งกลุ่มการเมือง หาทางออกวิกฤติประเทศ ชี้รัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงต้องแก้ไข
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตน รวมทั้ง นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล , นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งเคยทำงานการเมืองร่วมกันในพรรคไทยรักไทย ยังคงมีความห่วงใยในปัญหาของบ้านเมือง ได้มีโอกาสพบปะและพูดคุยกับเพื่อน ๆ จากหลากหลายสาขาวิชาชีพ หลากหลายประสบการณ์ และหลากหลายวัย อาทิ นักธุรกิจ นักเขียน กลุ่มผู้ทำงานด้านสตาร์ทอัพด้านไอที นักวิชาการ สื่อมวลชน ตัวแทนเยาวชน คนรุ่นใหม่ และกลุ่มบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในแวดวงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประมาณกว่า 30 คน ที่สำนักงานแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 9
นายภูมิธรรม ระบุว่า การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครั้งนี้ เป็นการพบปะร่วมกันครั้งแรก หลังจากที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกันเป็นรายบุคคล ซึ่งได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับบรรยากาศของบ้านเมืองในปัจจุบันที่ต่างคับข้องใจและเป็นกังวลกับอนาคตทั้งของตนเองและประเทศชาติ โดยที่ประชุมสรุปความเห็นร่วมกันว่า เรื่องการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะพิจารณาในขณะนี้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การมุ่งให้ความสำคัญกับการนำเสนอแนวคิดด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่สะท้อนทางเลือกและทางรอดของสังคมไทย โดยคาดว่าเกี่ยวกับกรอบการทำงานร่วมกัน 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ควรมีการนำเสนอให้สังคมได้เห็นถึงปัญหาและผลกระทบอย่างรุนแรงด้านเศรษฐกิจ และที่ยิ่งน่ากังวลมากขึ้นคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นายภูมิธรรม ระบุด้วยว่า สำหรับกรอบการทำงานระยะกลาง คือ ในช่วงเวลา 150 วันนับจากนี้ วิกฤติเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มรุนแรงอย่างมากและจะส่งผลกระทบโดยตรงแก่ประชาชน ทางกลุ่มน่าจะมีการนำเสนอทางเลือกให้สังคม เพราะมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบออกจากห้อง ICU ได้เลย ส่วนกรอบการทำงานระยะยาว เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหาที่ขัดขวางการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ ชึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักกับประเทศในอนาคต ดังนั้นจึงต้องดำเนินการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายภูมิธรรม ระบุอีกว่า ในการหารือครั้งต่อไป น่าจะมีความชัดเจนเรื่องชื่อกลุ่ม คาดว่าคงจะมีกลุ่มบุคคลที่จะมาร่วมคิดร่วมคุยในแวดวงที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย