ญาติ-เพื่อนบ้าน ไม่เชื่อแม่วางยาฆ่าลูก หวังเงินบริจาค

กรุงเทพฯ 23 พ.ค.- คดีแม่วางยาฆ่าลูกหวังเงินบริจาค ล่าสุด ทีมข่าวสำนักข่าวไทย ลงพื้นที่พูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน พบยังไม่มีใครเชื่อว่าผู้เป็นแม่จะก่อเหตุ ขณะที่ตำรวจสงสัย “น้องอิ่มบุญ” ไม่ใช่ลูกจริง เร่งตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์


สภาพบ้านที่ดูทรุดโทรม ขัดแย้งกับข้อมูลของตำรวจ เรื่องเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 20 ล้านบาท สภาพบ้านของ น.ส.นิษฐา หรือแม่ปุ๊ก ของน้องอมยิ้ม และน้องอิ่มบุญ ที่คนหนึ่งเสียชีวิตปริศนา อีกคนรับบาดเจ็บ เคยอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้า ดูค่อนข้างทรุดโทรม มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ จอด 1 คัน แถมยังเงียบสงบกว่าปกติ มารดาของแม่ปุ๊ก ยังทำใจไม่ได้กับข่าวที่เกิดขึ้น หนีไปอยู่กับญาติ เหลือเพียงบิดา ที่ไม่อยากให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน หวั่นกระทบอาชีพ เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว


แม้วันนี้ลูกสาวกลายเป็นผู้ต้องหาวางยาลูก หวังเงินบริจาค ถูกคุมขังในเรือนจำ ไม่มีเงินประกันตัว แต่บิดาของปุ๊ก ยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ตั้งข้อสังเกตเงินบริจาค หากมีมากนับสิบล้าน คงไม่อาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนน้องอมยิ้ม-น้องอิ่มบุญ เด็กทั้ง 2 คน ถูกเลี้ยงดูด้วยความรักจากตา-ยาย และแม่ ตนเพิ่งรู้ว่าน้องอมยิ้ม ไม่ใช่หลานแท้ๆ เมื่อตกเป็นข่าว ส่วนน้องอิ่มบุญ ยืนยันเป็นหลานแท้ๆ เพราะส่งลูกสาวเข้าห้องคลอดด้วยตัวเอง เรื่องสารเคมีที่พบในตัวน้องอิ่มบุญ เคยถามแพทย์ แต่ไม่ได้รับคำตอบ และยืนยันว่าหลานทั้ง 2 คน มีอาการป่วยไม่เหมือนกัน


สอดคล้องกับเพื่อนบ้าน ที่ยืนยันว่าครอบครัวนี้มีอัธยาศัยดี ไม่เคยมีปัญหาในครอบครัวให้เห็น โดยเฉพาะแม่ปุ๊ก พูดจาสุภาพเรียบร้อย ทั้งกับลูกหรือเพื่อนบ้าน ไม่ดื่มกิน-เที่ยวเตร่ รักลูกทั้ง 2 คนมาก จึงไม่เชื่อว่าจะก่อเหตุจริง

คดีนี้ตำรวจกองปราบปรามบุกจับแม่ปุ๊ก เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมแจ้งข้อหาหนัก 5 ข้อหา อาทิ รับเลี้ยงเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และฉ้อโกงประชาชน หลังพบหลักฐานเคยรับน้องอมยิ้ม มาเลี้ยงดู แล้วป่วยเป็นโรคประหลาด อาเจียนเป็นเลือด ตัวบวม จนเสียชีวิตในวัยเพียง 3 ขวบ ระหว่างนั้นมีการเปิดรับบริจาค ขายสินค้า มีการโอนเงินกว่า 8,000 ครั้ง เงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท

ต่อมาต้นปีนี้ น้องอิ่มบุญ ลูกคนเล็กวัย 2 ขวบ ป่วยด้วยอาการเดียวกัน และมีการเปิดรับบริจาคอีกครั้ง จนชาวโซเชียลฯ สงสัย แห่แจ้งความดำเนินคดี ล่าสุด ตำรวจกองปราบฯ ไม่เชื่อว่า น้องอิ่มบุญ ลูกคนเล็ก จะเป็นลูกจริงๆ สั่งเร่งตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ เพราะพบพฤติกรรมผิดปกติ ขณะลูกป่วยหนัก แม่กลับมุ่งโพสต์คลิปหวังเงินบริจาค

ขณะที่ น้องอิ่มบุญ วันนี้หายป่วยแล้ว อยู่ในความคุ้มครองของกรมกิจการเด็กและเยาวชนตามคำสั่งศาล ซึ่งกำลังรอผลตรวจดีเอ็นเอจากเจ้าหน้าที่ เพื่อวางแผนดูแลเด็กต่อไป

คดีนี้คาดว่าสัปดาห์หน้าจะรู้ผลตรวจดีเอ็นเอน้องอิ่มบุญ กับแม่ปุ๊ก ซึ่งหากทั้ง 2 คน ไม่ใช่แม่ลูกกันจริง ปริศนาที่หลายคนสงสัยอาจคลี่คลาย และทำความเข้าใจคดีนี้ได้ง่ายขึ้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ใบประกอบวิชาชีพครู

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู”

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” แนะรีบต่ออายุใบอนุญาต หลังคุรุสภาออกมาตรการ 5 ต. คุมเข้มทุกโรงเรียนทั่วไทย

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC ล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนเดินทาง ตามกฎใหม่ ตม.

พีชเรียกอาต่าย

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” โอ้อวดเรียก “อาต่าย” ลั่นไม่ใช่ญาติ

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” คู่กรณีรถกระบะ โอ้อวดเรียก “อาต่าย” รู้จักคนในรัฐบาล หวังผลคดี ลั่นไม่ใช่ญาติ สอนลูกเสมออย่าทำตัวเป็นขยะสังคม บอกประชาชนใช้วิจารณญาณเลือกตั้ง

“นายกเบี้ยว” ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้-ดูแลลุงคู่กรณี

“นายกเบี้ยว” รับจบแทนลูก ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้ ดูแลลุงคู่กรณี ระบุสอนลูกไม่ดี ไม่มีเวลาให้ลูก ปฏิเสธไม่สนิทกับ ผบ.ตร. อย่าเอาท่านมาแปดเปื้อน ส่วนที่ลูกชายยังไม่ไปเยี่ยมลุงคู่กรณี เนื่องจากกลัวโดนถูกโวยวาย

ข่าวแนะนำ

ลุยรื้อถอนต่อเนื่องเข้าวันที่ 24 จนท.ทำงานหนักตลอด 24 ชม.

เดินหน้ารื้อถอนอาคาร สตง. เข้าสู่วันที่ 24 แล้ว เจ้าหน้าที่ทำงานตลอด 24 ชม. เพื่อให้เสร็จตามแผน ขณะที่ภารกิจค้นหาผู้ติดค้างยังคงดำเนินต่อเนื่อง

ปล่องลิฟต์ตึกถล่ม

กทม.เดินหน้าเจาะปล่องลิฟต์ ค้นหาผู้สูญหายตึก สตง.

ผู้ว่าฯ กทม. เผยปฏิการค้นหาร่างผู้สูญหายจากเหตุตึก สตง.ถล่ม วันนี้เน้นเจาะปล่องลิฟต์-บันไดหนีไฟ หลังวานนี้ (18 เม.ย.) พบผู้เสียชีวิตในจุดดังกล่าวเพิ่มอีก 6 ราย ยืนยัน กทม. ให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการเข้า เก็บพยานหลักฐาน เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว