กรุงเทพฯ 13 พ.ค.-หลังเกิดปมดราม่าเมื่อเช้า กรณีเจ้าของอู่แท็กซี่ออกมาแฉ ลุงแท็กซี่หายตัวพร้อมเงินบริจาค 8 ล้านบาท โดยไม่ยอมใช้หนี้ที่ติดค่าเช่ารถไว้ ปรากฏว่าล่าสุดเจ้าของอู่ยอมถอนแจ้งความแล้ว หลังลุงแท็กซี่โอนเงินมาใช้หนี้ พร้อมระบุจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก
คงจำกันได้กรณีลุงแท็กซี่ นายสิทธิชัย ใกล้ชิด อายุ 72 ปี ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมน้ำตาว่าได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่ารถและค่าเช่าบ้าน จนเป็นกระแสโด่งดังในโลกโซเชียล และมีคนสงสาร บริจาคเงินให้กว่า 8 ล้านบาท ปรากฏว่าวันนี้นายปรีชา ชุ่มสมบัติ อายุ 49 ปี เจ้าของอู่แท็กซี่ ที่นายสิทธิชัยไปเช่ามาขับออกมาแฉว่า นายสิทธิชัยเป็นคนลวงโลก ตอนนี้หายตัวไปพร้อมเงินบริจาค โดยไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ค่าเช่ารถแท็กซี่ทั้งหมด 15,370 บาท โดยเป็นของนายสิทธิชัย 1,400 บาท และของลูกชายนายสิทธิชัยที่ทางนายสิทธิชัยเป็นคนค้ำประกันไว้อีก 13,970 บาท และไม่มีใครพบตัวหรือติดต่อกับลุงแท็กซี่ได้ ทั้งยังเข้าแจ้งความที่ สภ.บางปูให้ดำเนินคดี
ซึ่งผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่หมู่บ้านพูนทรัพย์ ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ บ้านเช่าที่ลุงแท็กซี่เคยเช่าอยู่ปรากฏว่าไร้วี่แววนายสิทธิชัย ซึ่งเพื่อนบ้านบอกว่า ไม่มีใครพบนายสิทธิชัยตั้งแต่มีข่าวว่าได้รับเงินบริจาคหลายล้าน และได้ย้ายออกไปตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ก็ไม่สามารถติดต่อได้
ปรากฏว่าหลังมีข่าวออกทางสื่อ นายสิทธิชัยได้โอนเงินมาใช้หนี้นายปรีชาแล้ว ทำให้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมานายปรีชาได้เดินทางมาถอนแจ้งความ พร้อมระบุว่า ลุงแท็กซี่โอนเงินมาจ่ายหนี้แล้ว ผ่านทางบัญชีลูกชาย ซึ่งโอนเกินมา 30 บาท กำลังให้ลูกชายหาทางโอนคืน แล้วจากนี้ต่อไปตนก็ไม่ขอเปิดเผย หรือให้ข่าวในเรื่องส่วนตัวของนายสิทธิชัยอีก
ส่วนที่จังหวัดชัยนาท บ้านเกิดลุงแท็กซี่ นางชุติมา จันดาทอง อายุ 70 ปี น้องสาวของลุงแท็กซี่ยืนยันทั้งน้ำตา พี่ชายเป็นคนดี ไม่ได้โกหก หรือ เป็นคนลวงโลก ตามที่ถูกกล่าวหา มีนิสัยเหมือนบิดาที่เป็นนายทหาร ไม่ชอบการโกหก พูดคำไหนคำนั้น เคยทำงานขับรถให้กับบริษัทใหญ่ แต่พออายุมากไม่มีคนจ้าง ก็หันมาขับแท็กซี่ โดยอาศัยอยู่บ้านเช่ากับลูกชายที่มีอาการทางประสาท พบกับพี่ชายครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน พี่ชายขับแท็กซี่กลับมาที่ชัยนาท เพื่อร่วมงานทำบุญ 100 วันแม่ ยังบ่นให้ฟังว่าขับแท็กซี่ไม่ค่อยได้ หารายได้ไม่พอให้ค่าเช่ารถ กลัวว่าเจ้าของอู่จะไม่ให้เช่ารถ และจะไม่มีอาชีพทำกิน
ส่วนเรื่องราวที่พี่ชายไปออกทีวี จนมีคนใจบุญบริจาคเงินให้กว่า 8 ล้านบาท ก็ทราบข่าวจากทีวีเท่านั้น และก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่ชาย แต่ทราบว่าในช่วงนั้น หลังจากที่มีคนบริจาคเงินมาให้พี่ชายแล้วมีคนเข้าไปต่อว่า กล่าวหาว่าพี่ชายสร้างภาพ ทำให้พี่ชายเครียดอย่างหนัก ความดันขึ้น จนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าเป็นโรคไตระยะ 2 จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อพี่ชายได้อีกเลย และยิ่งมาเป็นข่าวในตอนนี้ยิ่งเป็นห่วงและทุกข์ใจมาก กลัวจะมีคนอุ้มตัวพี่ชายไปทำร้าย เพราะเห็นว่ามีเงินมาก อยากให้พี่ชายติดต่อกลับมา หรือ กลับมาบ้านที่ชัยนาท.-สำนักข่าวไทย