กทม. 10 ก.ย.-สั่งสวนสัตว์ดังพักโซนสัตว์ดุร้าย พร้อมทบทวนแผนมาตรการรักษาความปลอดภัยส่งกรมอุทยานฯ ภายใน 2 วัน เผยเจ้าหน้าที่ที่ถูกสิงโตทำร้ายเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จึงคิดว่าคุ้นชิน แต่ถึงขั้นประมาทหรือไม่ ต้องรอการสอบสวน
เวลา 17.30 น. ตัวแทนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำโดยนายเฉลิม พุ่มไม้ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า และนายสดุดี พันธุ์ภักดี ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา หรือ CITES ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน ภายหลังพูดคุยหารือกับทางสวนสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งย่านคันนายาว หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ถูกสิงโตรุมทำร้ายจนเสียชีวิต
โดยนายเฉลิม เปิดเผยว่า ทางกรมอุทยานฯ ต้องขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังการเข้าไปตรวจสอบและหารือกับทางสวนสัตว์ว่า ทางกรมมีความเห็นว่า ให้ทางสวนสัตว์พักการให้บริการซาฟารีโซนสัตว์ดุร้ายออกไปก่อนระยะหนึ่งและให้ทบทวนจัดทำแผนมาตรการการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ และสัตว์ โดยกำหนดส่งให้กรมพิจารณาภายใน 2 วัน เพื่อที่ทางกรมจะได้นำไปพิจารณาและดำเนินการในระยะต่อไป
สำหรับกฎเหล็กของสวนสัตว์ 23 ข้อ ทางกรมได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหาจึงมองว่า ต้องมาทบทวนกัน เช่น การมีแนวเขตป้องกันระหว่างตัวสัตว์กับนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ ซึ่งมาตรการเดิมที่มีอยู่แล้วคือ การกำหนดให้ตัวนักท่องเที่ยวห้ามลงจากรถ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาทบทวนร่วมกัน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่กับนักท่องเที่ยว ส่วนแนวระยะที่ปลอดภัยจะต้องพิจารณาอีกครั้งว่า ควรมีระยะเท่าไหร่ที่เหมาะสม
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า สำหรับสาเหตุที่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวลงจากรถนั้น อยู่ในระหว่างการสอบสวนของทางตำรวจ แต่ยอมรับว่า บริเวณดังกล่าวไม่มีกล้องวงจรปิด อาจพิจารณานำเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเข้าไปในมาตรการความปลอดภัยด้วย
นายเฉลิม ยังเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า โดยปกติสิงโตมีสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าในฐานะที่เป็นผู้ล่า เมื่อมีอายุโตเต็มวัย หากเห็นสิ่งมีชีวิตที่ปกติหรือแปลกปลอมเข้ามาในระยะที่เหมาะสม ก็จะล่าตามสัญชาตญาณทันที ส่วนตัวเจ้าหน้าที่ผู้ถูกทำร้ายจะมีความประมาทหรือคิดว่าเป็นเพียงเพราะคุ้นเคยกับสิงโต จนละเลยในเรื่องสัญชาตญาณหรือไม่นั้น ต้องดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด
แต่ยอมรับว่า ด้วยสัญชาตญาณนักล่าของสิงโต หากหันหลังให้มัน มันจะค่อย ๆ ย่องเข้ามา เมื่อได้จังหวะก็จะตะครุบทันที ดังนั้น โดยหลักแล้วคือ ไม่ควรหันหลังให้ควรจะต้องหันมาประจันหน้าหรือส่งเสียงขู่ ซึ่งอย่างน้อยจะเป็นการเพิ่มความปลอดภัย เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าที่ดุร้าย
สำหรับในประเทศไทยมีสวนสัตว์เปิดในลักษณะเดียวกันอีก 5 แห่ง ซึ่งที่ผ่านมา ทางกรมได้เข้าไปดำเนินการตรวจมาตรการความปลอดภัยทุก 1-3 เดือนอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้คงจะต้องเพิ่มมาตรการในการป้องกันรักษาความปลอดภัยจากสัตว์ดุร้ายตามสวนสัตว์เหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น
ทางด้านนายสดุดี พันธุ์ภักดี ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา หรือ CITES เปิดเผยว่า สิงโตที่ก่อเหตุนั้นมีอายุได้กว่า 20 ปี ซึ่งตัวเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็กและมีความชำนาญคุ้นชิน ส่วนจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่อุบัติเหตุจากความประมาทครั้งนี้หรือไม่ ต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่สอบสวนอย่างละเอียด แต่ส่วนตัวมองว่า สัตว์ทุกตัวมีสัญชาตญาณของตัวมันเอง แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงทั่วไปตามบ้านก็ยังทำร้ายเจ้าของได้ จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติ
ส่วนประเด็นที่ขณะเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่บัดดี้อยู่ด้วยนั้น เป็นอีกเรื่องที่ต้องตรวจสอบ เนื่องจากอยู่ในข้อกำหนดมาตรการการทำงานของสวนสัตว์ ซึ่งทางสวนสัตว์ก็ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อไป เช่นเดียวกับประเด็นที่ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ถูกทำร้ายลงไปให้อาหารหรือไม่นั้น ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบเช่นเดียวกัน
แต่ยอมรับว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแรงจูงใจที่เจ้าหน้าที่ลงจากรถไปเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะต้องการฆ่าตัวตายหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ แต่จากการลงตรวจสอบข้อมูล ยังไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการที่เจ้าหน้าที่เปิดประตูรถออกไปเท่านั้น
นายสดุดี ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ทางกรมจะต้องดำเนินการต่อคือ นำแผนมาตรการรักษาความปลอดภัยของสวนสัตว์ไปทบทวน หากพบช่องโหว่หรือข้อบกพร่อง ก็จะต้องเป็นเรื่องที่ทางสวนสัตว์ต้องชี้แจง
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า หากพบความผิดพลาดจนถึงขั้นต้องพักไปอนุญาตสวนสัตว์หรือไม่ นายสดุดี บอกว่า ต้องว่ากันไปตามกฎระเบียบ แต่หลังจากนี้ ทางกรมจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบสวนสัตว์เปิดทั้ง 5 แห่งทั่วประเทศด้วยตนเองและในเรื่องของการติดตั้งกล้องวงจรปิดในโซนซาฟารีนั้น ก็เป็นอีกมาตรการที่ทางกรมจะนำไปปรับใช้ในมาตรการของทุกสวนสัตว์เปิดต่อไป.-สำนักข่าวไทย