สธ.1 พ.ค.-สธ.ใช้วิธีการตรวจแบบรวมตัวอย่าง (Pooled Sample) ค้นหา ผู้ติดเชื้อในชุมชนที่เสี่ยงและคาดว่าจะมีการติดเชื้อไม่มาก ทำให้รู้ผลเร็ว คุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายในการตรวจได้ 3- 5 เท่า
บ่ายวันนี้ (1 พ.ค.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มาตรการผ่อนปรนที่รัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการ จะมีรายละเอียดคู่มือในการดำเนินการออกมาในหลายกิจกรรม เช่น การออกกำลังกายในสวนสาธารณะ การรับประทานอาหารในร้าน การตัดผม ฯลฯ ซึ่งมีกิจการ/กิจกรรมมากมายไม่สามารถตอบในรายละเอียดได้ทั้งหมด จึงควรกลับมาทบทวนหลักการป้องกันว่าคนที่มีเชื้อแล้วจะนำเชื้อไปสู่คน ที่ยังไม่ป่วยได้อย่างไร ซึ่งวิธีติดเชื้อมี 2 ส่วน คือการที่ทำให้สารคัดหลั่งกระเด็นออกจากตัวไปสู่คนที่อยู่ใกล้ และเข้าทางปาก จมูกโดยตรง ดังนั้นถ้าใส่หน้ากากให้กระชับใบหน้า ทั้งคนที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อ ซึ่งขณะนี้เราใส่กันเกือบทุกคน ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ และเว้นระยะห่าง โอกาสแพร่เชื้อก็จะมีสภาพเกือบเป็นศูนย์
ส่วนที่ 2 คือสารคัดหลั่งอาจติดไปกับมือของคนที่มีเชื้อไปจับสิ่งของต่างๆ เชื้อจะมีชีวิตอยู่บนสิ่งนั้นระยะเวลาหนึ่ง มีข้อมูลว่าอยู่ได้หลายชั่วโมง เมื่อมือไปสัมผัสกับปาก จมูก ก็อาจติดเชื้อได้ จึงขอให้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อสิ่งของ และล้างมือบ่อยๆ เป็นประจำ
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีข่าวการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวในต่างประเทศ ประเทศไทยจึงมีมาตรการให้ความรู้แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในชุมชนต่างๆ ในรูปแบบเครือข่ายและการสุ่มตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากขึ้น ทำให้อัตราการพบเชื้อต่ำลง จากเดิมในระยะแรกพบผู้ติดเชื้อ 4-5 % ปัจจุบันเมื่อตรวจตัวอย่างมากขึ้นพบผู้ติดเชื้อประมาณ 1% และประเทศไทยใช้การตรวจวิธี RT PCR (Real Time PCR) ค่าใช้จ่าย กว่า 2,000 บาทต่อราย หากตรวจ 100 คนพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย มีค่าใช้จ่าย 2 แสนกว่าบาท
ดังนั้น จึงได้ใช้เทคนิคการตรวจแบบรวมตัวอย่าง (Pooled Sample) เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนที่มีความเสี่ยงและคาดว่าจะมีการติดเชื้อไม่มาก โดยแทนที่จะตรวจ 100 ครั้งพบผู้ติดเชื้อ 1 คน แต่วิธีนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มละ 10 คนและนำตัวอย่างมาตรวจรวมกัน หากกลุ่มใดพบเป็นบวก จะนำตัวอย่างของกลุ่มนั้น มาแยกตรวจเป็นรายบุคคล ซึ่งแทนที่จะตรวจ 100 ครั้ง ก็เหลือเพียง 20 ครั้งพบผู้ป่วย 1 คนเช่นกัน ทำให้รู้ผลเร็ว คุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายในการตรวจได้ 3- 5 เท่า
“นโยบายของกระทรวง คือขยายการตรวจในกลุ่มที่มีความเสี่ยง และตรวจเพื่อการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันควบคุมโรค ข้อสงสัยว่าเรามีผู้ติดเชื้อน้อยเพราะตรวจน้อยเกินไปหรือไม่ จากข้อมูลประเทศไทยพบว่าจะมีผู้ป่วยอาการรุนแรง 5 % จำนวนผู้ป่วยปัจจุบันประมาณ 3,000 ราย หากคิดว่าเรามีผู้ป่วย 10,000รายจะต้องมีผู้ป่วยรุนแรง 500 ราย ซึ่งขณะนี้ไม่มี 500 รายดังกล่าว หากมีจะต้องได้รับการดูแลทุกคน เพราะผู้ป่วยในประเทศไทยจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลทุกราย เราไม่ได้ตรวจน้อย แต่ตรวจแบบมีหลักการมีเป้าหมาย” นพ.ศุภกิจ กล่าว.-สำนักข่าวไทย