กรุงเทพฯ 17 เม.ย. -กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ส.อ.ท. ระบุโควิด-19 กระทบยอดส่งออกไตรมาสแรกปีนี้ 5.7% คาดตลาดรวมเครื่องสำอางปีนี้ลดลง 10%
นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยและประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยสำนักข่าวไทยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติครั้งใหญ่อย่างวิกฤติต้มยำกุ้งหรือผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยภาพรวมแล้ว ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ยอดส่งออกลดลงแล้ว 5.7% และยอดขายในประเทศซึ่งบางส่วนเป็นเครื่องสำอางนำเข้าก็ยอดขายลดลงเช่นกัน ทำให้ยอดขายในประเทศไตรมาสแรกปีนี้ลดลงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ประเมินเบื้องต้นว่าหากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางไทยที่มีมูลค่ารวมประมาณ 300,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 180,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้รวมเครื่องสำอางนำเข้าประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท และตลาดส่งออก 120,000 ล้านบาท มีโอกาสที่ยอดขายลดลง 10%
สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด -19 กระทบอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยหนัก เกิดจากหลายสาเหตุ ด้านตลาดส่งออกต้องประสบปัญหาการปิดประเทศส่งออกไม่ได้ โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านอย่างกลุ่มประเทศ CLMV ขณะที่ตลาดในประเทศ พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้านมากขึ้น หันมาให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดมากขึ้นส่งผลช่วยให้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือขายดีขึ้น แต่การแต่งตัวออกจากบ้านลดน้อยลง ตลอดจนผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า ปิดร้านเสริมสวยและการปิดสนามบินที่กระทบร้านค้าปลอดอากร ส่งผลให้ยอดขายเครื่องสำอาง เช่น แชมพู ยาย้อมผม และอื่น ๆ ขายไม่ได้หรือยอดขายตก
นอกจากนี้ ด้านการผลิตก็ประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบสารทำข้นและบรรจุภัณฑ์ประเภทขวดหัวกด หัวสเปรย์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยสารทำข้นรวมถึงบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องสำอางยังต้องนำเข้ากว่า 90% จากผู้ผลิตประเทศอิตาลีและประเทศสเปน รวมถึงนำเข้าบ้างบางส่วนจากประเทศจีน ซึ่งประเทศเหล่านี้ถูกผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ขาดแคลนอย่างหนัก
นางเกศมณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังประสบปัญหาการเข้าถึงแอลกอฮอล์ เพื่อจะนำมาผลิตสินค้าต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากปัจจุบันการจำหน่ายแอลกอฮอล์ผูกขาดโดยองค์การสุรา จึงต้องการให้ภาครัฐปรับนโยบายเพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยอาจเพิ่มผู้จำหน่ายมากกว่านี้ รวมถึงปรับนโยบายเป็นเชิงสนับสนุนผู้ประกอบการมากกว่ากำกับผู้ประกอบการ ไม่ต้องการให้มองว่าผู้ประกอบการเป็นผู้ร้ายจ้องแต่จะนำแอลกอฮอล์ไปผลิตสุราเท่านั้น เพราะขณะนี้สามารถนำไปผลิตสินค้าอื่น ๆ ได้ เช่น ผลิตเจลผสมแอลกอฮอล์ 70-75 % สำหรับล้างมือหรือสินค้าตัวอื่นที่มีความจำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ พร้อมกับส่งเสริมผู้ประกอบการให้ใช้นวัตกรรมในการผลิตและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้ในการเลือกใช้สินค้าคุณภาพ เชื่อว่าจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยให้เติบโตได้มากยิ่งขึ้นและมีความสามารถแข่งขันระดับโลกดียิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย