กรุงเทพ ฯ 13 มี.ค. – สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอขยายวงเงินกองทุน SSF เพิ่มเติมให้มากกว่า 200,000 บาท เพื่อพยุงตลาดหุ้น ดีกว่าการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น ด้าน บล.เอเซียพลัส ชี้ปรับเกณฑ์การขายชอร์ต มีน้ำหนักค่อนข้างเบา เป็นแค่การลดความร้อนแรงเก็งกำไรเท่านั้น
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปรับเกณฑ์การขายชอร์ตให้ได้เฉพาะราคาที่สูงกว่าราคาซิ้อขายครั้งสุดท้าย (Up Tick) คือ ต้องวางชอร์ตที่ราคาเสนอขาย (offer) หรือสูงกว่า ว่า คงช่วยลดความผันผวนลงได้บ้าง เพราะที่ผ่านมามีพฤติกรรมการเข้ามาเก็งกำไรผ่านการทำชอร์ตเซล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการในการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้น
ส่วนการตั้งกองทุนพยุงหุ้นนั้น ต้องตอบให้ชัดว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมามีหลายรูปแบบ เช่น การใช้เงินรัฐ แมทชิ่งฟันด์ระหว่างรัฐและเอกชน แต่มาตรการที่ได้ผลดีที่สุด คือ รัฐต้องไม่เข้ามาบิดเบือนกลไกลตลาดด้วยการตั้งกองทุนมาซื้อหุ้นอย่างเดียว แต่ควรเพิ่มวงเงินการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว หรือ SSF เพื่อจูงใจให้ประชาชนลงทุนจะได้ประโยชน์มากกว่า และใช้เม็ดเงินน้อยกว่าการตั้งกองทุนพยุงหุ้น เพราะวงเงินพิเศษที่เพิ่ม 200,000 บาท ในการลงทุนช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าหากจะให้กระตุ้นตลาดหุ้นและให้ใช้สิทธิ์ได้เป็นการชั่วคราวควรเพิ่มวงเงินมากกว่านี้ อาจะเป็น 500,000 บาท ก็ได้
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าปรับเกณฑ์การขายชอร์ต ไม่ได้เป็นการห้ามทำชอร์ตเซล เพียงแต่ลดความร้อนแรงของการทำชอร์ตเซลเท่านั้น โดยน้ำหนักของมาตรการถือว่าค่อนข้างเบา ซึ่งผิดจากความคาดหมาย และอาจทำให้ SET Index ที่ดีดตัวขึ้นมาแรงช่วยเช้า ย่อตัวกลับลงไปได้ในการซื้อขายข่วงบ่าย เพราะโดยกลไกแล้ว นอกจากชอร์ตเซลยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นการเพิ่ม Momentum ให้กับตลาดเช่น Block Trade, อนุพันธ์ประเภทต่างๆ , การซื้อขายด้วย Margin เป็นต้น ซึ่งกลไกส่วนที่เหลือยังคงทำงานอยู่ และเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นในช่วงต่อไป.-สำนักข่าวไทย