สธ.4มี.ค.-สธ.เผยสถานการณ์ “โควิด-19” ของประเทศไทยวันนี้ อยู่อันดับ 17 ของโลก มียอดผู้ติดเชื้อคงที่ 43 ราย พร้อมมีมาตรการเร่งด่วนด้านการป้องกันโรค 14 ข้อ ย้ำให้รอผลประชุมผู้บริหารเที่ยงนี้ กรณีรายชื่อประเทศที่จะถูกประกาศ เป็นเขตติดโรค
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า วันนี้ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 11 ราย กลับบ้านแล้ว 31 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 43 ราย อาการหนัก 1 ราย ทำให้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 17 ของโลก ขณะที่มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง สะสมทั้งหมด 3,680 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 2,435 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,545 ราย ส่วนสถานการณ์ทั่วโลกใน 75 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 92,321 ราย เสียชีวิต 3,137ราย ซึ่งประเทศไทยยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดเพื่อชะลอไม่ให้ประเทศไทยเข้าสู่การแพร่ระบาดในวงกว้าง
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้มีมาตรการเร่งด่วนสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านการป้องกันโรค ทั้งหมด 14 ข้อ ได้แก่ 1.ให้ทุกหน่วยดำเนินตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด 2.ติดตามดูแลคนไทยในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างใกล้ชิด 3.ทุกส่วนราชการระงับ/เลื่อนการเดินทางไปประเทศที่มีการแพร่ระบาดและประเทศเฝ้าระวัง 4.เตรียมสถานที่สังเกตอาการ คัดกรองผู้ป่วย 5.เจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดต้องกักตัว 14 วันไม่ถือเป็นวันลา
6.จัดหาเวชกัณฑ์อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นเพิ่มเติมและหากจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานของบประมาณเพิ่มเติม 7.ตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำเนียบฯ 8.ให้มีการประชุมเตรียมพร้อมป้องกันสม่ำเสมอ 9.ทุกหน่วยงานเร่งจัดหาสินค้าที่ใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคให้พียงพอกับความต้องการ 10.ดูแลบุคลากรทางการแพทย์อย่างเหมาะสม
11.กระทรวงพาณิชย์ป้องกันการกักตุนสินค้าและควบคุมราคา 12.กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลรองรับพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 13.กระทรวงคมนาคมคัดกรองผู้โดยสารอย่างเคร่งครัด และ14.ขอความร่วมมืองดจัดกิจกรรมที่ต้องมีการรวมตัวของประชาชน จำนวนมาก
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีประกาศเมื่อวานนี้ ขอให้รอผลการประชุมผู้บริหาร ในช่วงเที่ยงถึงบ่ายวันนี้ความแน่นอนในการกำหนดรายชื่อประเทศที่เป็นเขตติดโรค และย้ำผู้ที่เดินทางกลับจากประทศที่มีการแพร่ระบาดเมื่อพบมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย อย่างใดอย่างหนึ่งให้ประสานสถานพยาบาล นำตัวตรวจรักษาตามความเหมาะสม หากไม่พบอาการต้องสงสัย มีภูมิลำเนาในไทย ให้กักตัวเองใน ที่พัก 14 วัน และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ เมื่อต้องกักกันตนเองที่บ้าน(Self quarantine at home) 14 วันต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด ดังนี้ สวมหน้ากากอนามัยอยู่ห่างจากคนอื่น 1-2 เมตร หยุดเรียน/ทำงาน งดร่วมกิจกรรมต่างๆ นอนห้องแยก ปิดปาก จมูกทุกครั้งที่ไอ จาม ทำความสะอาดที่พัก ของใช้ แยกของใช้ ทานอาหารแยกกับผู้อื่น ใช้ช้อนกลาง ทิ้งหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธีหลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูกเจ็บคอ หายใจเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
ส่วนเรื่องแรงงานไทยในประเทศเกาหลีใต้วันนี้ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายความมั่นคง เพื่อวางแผนร่วมกัน
ด้าน นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงประเด็นหน้ากากอนามัย ว่าหากประชาชนร่วมมือจัดหาหน้ากากผ้าคนละ 3 ชิ้น มาสวมใส่พร้อมซัก สับเปลี่ยนในแต่ละวัน ซึ่งเพียงพอกับการระมัดระวังป้องกันฝอยละอองน้ำลาย หรือเมื่อต้องเดินทางไปในที่คนแออัด เท่านี้ก็จะทำให้ หน้ากากอนามัยชนิดที่ใช้ในโรงพยาบาลสีขาวเขียวไม่ขาดแคลนและเพียงพอแก่บุคลากรสาธารณสุขที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการดูแลรักษาควบคุมป้องกันโรคให้กับประชาชนไทย .-สำนักข่าวไทย