ทำเนียบฯ 3 มี.ค.-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยันแรงงานไทยเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง สธ.เคร่งครัด ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กักตัวเอง 14 วัน ห้ามออกนอกบ้าน พร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการในการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อใช้ในการดำเนินการกับผู้เดินทาง ซึ่งมาจากนอกราชอาณาจักรที่เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ว่า ต้องปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เคร่งครัด โดยเมื่อพบผู้เดินทางที่เป็นหรือมีเหตุผลที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปและมีอาการเข้าข่าย ให้ดำเนินการประสานกับสถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพื่อรับการรักษาชันสูตรทางการแพทย์ แยก หรือ กักกัน ตามสมควรแก่กรณี แต่หากพบผู้เดินทางที่ไม่เข้าข่ายให้เจ้าหน้าที่พนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อ ระหว่างประเทศพิจารณาให้มีการกักตัวเองอยู่ในที่พักอาศัย หรือภูมิลำเนาในประเทศไทย 14 วัน แต่หากไม่มีที่พักอาศัยให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ประจำด่าน แสดงหลักฐาน ต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมโรค อาทิ ตั๋วเครื่องบิน ใบจองที่พัก เป็นต้น ส่วนกรณีที่ผู้เดินทางไม่สามารถแสดงหลักฐานให้กับเจ้าพนักงานประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศให้ประสานกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2552 เพื่อพิจารณาส่งกลับประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีเจ้าพนักงานควบคุมโรคพิจารณาเห็นว่าสมควรอนุญาตให้บุคคลดังกล่าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ต้องให้บุคคลนั้นกักกันตัวเองในที่พักอาศัยจำนวน 14 วันและห้ามออกจากที่พัก เว้นแต่ได้รับการอนุญาต ทั้งนี้ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะที่การเฝ้าระวังอาการและการรายงานตัว ได้ระบุไว้ 4 ข้อ แจ้งให้บุคคลดังกล่าวทำการบันทึกอาการในระบบร่างกาย จนครบถ้วน 14 วัน , กรณีไม่สามารถทำบันทึกด้วยตนเองได้พนักงานควบคุมโรคติดตามอาการและบันทึกข้อมูลแทน , หากพบว่ามีการป่วยหรืออาการต้องสงสัย ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ภายใน 3 ชั่วโมงนับแต่แสดงอาการ ขณะที่การนับระยะเวลา 14 วันให้เริ่มนับถัดจาก วันที่เดินทางถึงด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะต้องให้บุคคลดังกล่าวพิจารณารับผิดชอบเองทั้งหมด.-สำนักข่าวไทย