กรุงเทพ 12 ก.ย. – MOU การท่าเรือฯ – กรมการขนส่งทางบก ดึง Big Data ขับเคลื่อนการขนส่งอัจฉริยะ ลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย สร้างมาตรฐานใหม่โลจิสติกส์ไทย คาดจะลดการจอดรอที่ท่าเรือแหลมฉบังจาก 8 ชั่วโมง เหลือเพียง 2-4 ชั่วโมง ช่วงจราจรติดขัด
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนบันทึกข้อตกลงเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยครั้งนี้ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึง ข้อมูลการติดตามรถบรรทุก สำหรับการควบคุมความปลอดภัย และวิเคราะห์ระบบขนส่งสินค้า ถือเป็นก้าวสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดำเนินภารกิจของทั้งสองหน่วยงาน ยกระดับประสิทธิภาพการบริหารงาน การอำนวยความสะดวกในการบริการลูกค้าและประชาชน โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นผู้ลงนาม
นายจิรุตม์ กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลหน่วยงานรัฐ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจด้านการแบ่งปันข้อมูลทางทะเบียนยานพาหนะ ข้อมูลใบอนุญาตผู้ประจำรถ และข้อมูลระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (DLT GPS) ของกรมการขนส่งทางบก รวมถึงข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์สาเหตุและปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่การท่าเรือฯ และเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานโดยเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้การท่าเรือฯ หาแนวทางการแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากปัญหาการจราจรบริเวณเขตท่าเรือ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน อีกทั้งการท่าเรือฯ จะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า ข้อมูลการบรรทุกสินค้าที่อยู่ในความควบคุม กำกับของการท่าเรือฯ ข้อมูลจำนวนรถบรรทุก ข้อมูลทะเบียนรถ ลักษณะและประเภทของสินค้าที่ผ่านท่าเรือทุกแห่งภายในประเทศเพื่อประโยชน์ในการดำเนินภารกิจหลักของกรมการขนส่งทางบก


สำหรับการลงนามในความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดและขยายขอบเขตกรอบการบูรณาการด้านข้อมูล ได้แก่ การติดตามการเดินรถของรถบรรทุกขนส่งสินค้าในบริเวณพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลแนวทางในการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณท่าเรือ อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบกเล็งเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหวังว่าความร่วมมือกันในวันนี้จะเป็นการช่วยยกระดับและพัฒนาด้านระบบการขนส่งสินค้าของประเทศไทยต่อไป
นายเกรียงไกร เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ไทยด้วยการใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อขับเคลื่อนการทำงานภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล โดยการเสริมศักยภาพการบริหารจัดการยานพาหนะที่เข้า-ออกเขตท่าเรือ สามารถตรวจสอบ ควบคุม ลดปัญหาการจราจรติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ท่าเรือได้อย่างเป็นระบบ ทั้งหมดนี้จะสร้างประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการท่าเรือ และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน
ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวต่อว่า ภายใต้บันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กทท. และ ขบ. ได้กำหนดแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญร่วมกัน ทั้งข้อมูลทะเบียนยานพาหนะ ใบอนุญาตผู้ขับรถ ข้อมูลการเดินทางจากระบบ GPS ตลอดจนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า อาทิ ปริมาณการบรรทุก ประเภทสินค้า จำนวนรถบรรทุกที่เข้าใช้บริการท่าเรือ ทั้งหมดนี้เพื่อใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบ ควบคุม และบริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำไปวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการด้านการขนส่งที่รัดกุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมบุคลากรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ การวิเคราะห์ และการประมวลผลข้อมูล รวมถึงการพัฒนาเทคนิคในการติดตามและกำกับดูแลยานพาหนะ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องตามนโยบายของรัฐ พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการ ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการจอดรอคิวที่ท่าเรือแหลมฉบังได้จากที่เคยจอดรอถึง 8 ชั่วโมง จะเหลือเพียงแค่ 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับท่าเรือแหลมฉบังในแต่ละวันจะมีรถบรรทุกเข้าไปส่งสินค้าวันละประมาณ 15,000 คัน แต่บางวันอาจจะมีถึง 20,000 คันต่อวัน ปริมาณตู้สินค้าปีละ 10 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนที่ท่าเรือกรุงเทพ มีรถบรรทุกขนส่งสินค้าวันละ 3,000 คัน ปริมาณตู้สินค้าปีละ 1 ล้าน 2 แสนตู้คอนเทนเนอร์
การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนบทบาทสำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในฐานะกลไกหลักที่ช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน. -513-สำนักข่าวไทย