แนะรัฐถอดบทเรียนเหตุกราดยิง หวั่นเหตุการณ์ซ้ำรอย

กทม.10ก.พ.-นักวิชาการอาชญาวิทยา  แนะ รัฐควรถอดบทเรียน เหตุกราดยิง  ป้องกันพฤติกรรมเลียนแบบ  หามาตรการป้องกันเหตุซ้ำร้อย พร้อมพัฒนาองค์ความรู้รับมือกับเหตุเผชิญหน้า ให้เจ้าหน้าที่และประชาชน   


รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงศ์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต  กล่าวถึงเหตุการณ์กราดยิงในตัวเมืองโคราช เมื่อวันที่8กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ต้องมีการถอดบทเรียนในหลายประเด็น คือ  ต้องมีการสอบสวน มูลเหตุและแรงจูงใจในการก่อเหตุมาจากเรื่องใด  ควรดำเนินการสอบสวนอย่างจริงจัง เพื่อหามาตรการและกำหนดแนวทางการป้องกันการก่อเหตุประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ซึ่งการก่อเหตุกราดยิงในต่างประเทศ หลังเกิดเหตุต้องมีการตรวจสอบและสอบสวนอย่างจริงจัง เพื่อหาสาเหตุแรงจูงใจหรือมูลเหตุ และเน้นการพัฒนาองค์ความรู้การประเมินผลของเจ้าหน้าที่ที่ครอบครองอาวุธในเรื่องภาวะผู้นำ เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นทหารชั้นผู้น้อยแต่สามารถไปฆ่าเจ้านายตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ามีความเครียดหรือกดดัน ถึงขั้นยิงเจ้านายตังเองได้ หน่วนงานที่ใช้อาวุธ ทั้ง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หน่วยงานด้านความมั่นคง ผู้บังคับบัญชาควรต้องศึกษาในเรื่องนี้จริงจัง  ยกตัวอย่าง ตำรวจในประเทศเยอรมัน ให้ความสำคัญในการประเมินภาวะผู้นำในแต่ละระดับ หากมีความรู้ดี ทักษะดี แต่ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำก็ไม่สามารถก้าวหน้าหรือเป็นผู้บังคับบัญชาได้    


ส่วนที่2 ระดับนโยบาย ต้องให้ความสำคัญเรื่องการรักษาความปลอดภัย ในระดับพื้นที่มากขึ้น ทั้งกำลังคน สายตำรวจ อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างๆ  งบประมาณ ดูว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนในการเผชิญเหตุและรับมือหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้  ตามมาตรฐานสากล หากคนร้ายมีอาวุธสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการควบคุมพื้นที่ และจำกัดพื้นที่เพื่อไม่ให้คนร้ายก่อเหตุในวงกว้างหรือกันประชาชนไม่เข้ามาใช้เส้นทางคนที่ร้ายกำลังใช้เส้นทางอยู่  สิ่งเหล่านี้ต้องมาเรียนรู้พร้อมกันและต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้ของตำรวจและพัฒนารูปแบบในการสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่อย่างไรเพื่อลดความสูญเสีย  เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพและการรัดกลุม  


ส่วนที่3 การสร้างตัวแบบที่ดี เพราะโลกสมัยนี้มีทั้งโลกของความเป็นจริงและโลกออนไลน์หรือโลกเสมือน  โลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่ได้รับการยอมรับ แต่โลกออนไลน์กับได้รับการยอมรับ  แม้แต่โพสต์เรื่องรุนแรง แต่กลับมาคนชื่นชม จึงต้องสร้างตัวแบบที่ดีให้คนในสังคมเป็นแบบอย่าง 

ส่วนที่4.ต้องเรียนรู้ร่วมในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบ  ในช่วงขณะเกิดเหตุการณ์อาจมีความสุ่มเสี่ยงให้คนร้ายทราบความเคลื่อนไหวในการปฏบัติงานของเจ้าหน้าที่ เช่น มีการนำเสนอว่า ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปถึงจุดไหนและมีใครหลบซ่อนอยู่จุดไหนบ้าง ซึ่งคนร้ายมีการรับชมการถ่ายทอดสดของสื่อผ่านมือถือได้เช่นกันจะทำให้คนร้ายรู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่และจุดซ่อนตัวของคนที่กำลังติดอยู่ด้านใน 

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงศ์  เชื่อว่า แรงจูงใจหลัก มูลเหตุสำคัญ น่าจะมาจากความเครียดเรื่องส่วนตัว ในเรื่องการไม่ได้รับเงินค่านายหน้าตามที่ตกลงกัน  และระบบของงาน เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นทหารชั้นผู้น้อย การไปเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ คงทำได้อยาก โดยระบบทำให้เกิดความเครียดสะสม มีการโพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่าจะมีการก่อเหตุ มีการโพสต์รูปปืน ต้องเรียนรู้ร่วมกันว่าต่อไปหากมีเพื่อนร่วมงาน โพสต์ลักษณะนี้ ต้องรีบเข้าไปคุย เจ้านายต้องเรียกมาคุย ทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันก่อนถึงจุดวิกฤติ ก่อเหตุรุนแรง  ส่วนมูลเหตุการฆ่าผู้บริสุทธิ์ นั้น เชื่อว่า เกิดจากการนัดคุยที่ไม่ลงตัว และคนร้ายอาจเข้าใจว่าถูกเอาเปรียบ เลยตัดสินใจยิงเจ้านายและคนที่เกี่ยวข้อง และชิงอาวุธสงครามในค่ายทหาร เพราะเชื่อว่าตำรวจจะต้องติดตามจับกุมตัว จึงต้องมีอาวุธสงครามเพื่อป้องกันตัว และต้องหลบหนีไปในที่ที่สามารถนำมนุษย์มาเป็นโล่กำบังได้  จึงเลือกห้างสรรพสินค้า ซึ่งธรรมชาติของคนร้ายกราดยิงคนในที่สาธารณะ เวลาก่อเหตุจะเลือกสถานที่คือชุมชน  โรงเรียน ศูนย์การค้า เพราะการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังมาก  ในแต่ละคดีมีความยากง่ายต่างกัน  ผู้ก่อเหตุมีทักษะการยิงปืน และมีอาวุธสงคราม การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่คำนึงถึงชีวิตของประชาชนสูงมาก  จึงไม่สามารถใช้ความรุนแรงระงับเหตุได้ตั้งแต่แรก  หากผู้ก่อเหตุเกิดการต่อสู้  การสูญเสียจะมากกว่านี้ได้  ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการปฏิบัติการในครั้งนี้  

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงศ์   ยอมรับว่าลักษณะการก่อเหตุกราดยิงในที่สาธารณะครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และมีผู้เสียชีวิตถึง 30 คน บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ต้องถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งดูรูปแบบการป้องกันแก้ไขเหตุลักษณะนี้ในต่างประเทศด้วย เช่น ในสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีเหตุกราดยิงมากที่สุดในโลก ได้มีการศึกษาและทำวิจัยว่า แรงจูงใจในการก่อเหตุของคนร้ายคืออะไร  จัดทำระดับนโยบาย เพื่อวางแผนในการรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีก  ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชนในพื้นที่ ต้องบูรณาการร่วมกัน  สำหรับประเทศไทยเหตุกราดยิง อาจจบในทางคดีเนื่องจากคนร้ายเสียชีวิต แต่เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับประเทศไทยที่ต้องมาถอดบทเรียน เรียนรู้ ปรากฏการณ์อาชญากรรมร้ายแรงที่เกิดขึ้นในโลก นอกเหนือจากเหตุการณ์ในประเทศไทยเองเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต

นอกจากนี้ยังแนะนำประชาชน หากเจอเหตุกราดยิงในที่สาธารณะ ตามมาตรฐานสากล หากประชาชนอยู่ในพื้นที่ชุมชน ห้าง โรงเรียน หากได้ยินเสียงปืนดัง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้น  ให้วิ่งออกจากที่เกิดเหตุ โดยใช้บันไดหนีไฟ หลบหนีออกมาให้เร็วที่สุด ห้ามใช้ลิฟท์ เนื่องจากคนร้ายอาจกราดยิงเข้าไปในลิฟท์  หากอยู่ใกล้กับเสียงปืน ให้ตั้งสติและสังเกตุว่าเสียงปืนอยู่ในทิศทางไหน หากพบว่าคนร้ายอยู่ไกลให้หาทางหลบหนี หากพบว่าอยู่ใกล้และอยู่ชั้นเดียวกัน ให้หาทางหลบซ่อนตัว  โดยการปิดเสียงเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และหาช่องทางติดต่อสื่ออสารกับคนภายนอก โดยการส่งข้อความ แจ้งตำแหน่ง พิกัดที่หลบอยู่ เพื่อส่งต่อเจ้าหน้าที่ประเมินการช่วยเหลือ  ทรัพย์สินมีค่าทุกชนิดให้ทิ้ง บางคนลืมกระเป๋าไว้บนโต๊ะ จะวิ่งกลับไปเอา ขอให้สละไปเลย หรือรองเท้าหลุด จะวิ่งกลับไปเอา  บางครั้งต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ร่วมกัน  ในมาตรฐานสากล หากคนร้ายมาจวนตัวและรู้ว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งนี้  ต้องคิดเพื่อต่อสู้  ซึ่งจะมีการเรียนการสอนในโรงเรียน และมีการเผยแพร่องค์ความรู้จากหน่วยงานสู่สาธารณ  

ทั้งนี้ ในต่างประเทศมีการศึกษาพบว่า เหตุกราดยิงที่มีความต่อเนื่อง เป็นพฤติกรรมที่เกิดมาจากการเลียนแบบกันได้  ซึ่งเกิดจากการดูจากสื่อหรือดูจากข่าว และเรียนรู้ข้อมูลนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบ  สื่อมีส่วนสำคัญมากจึงไม่สนับสนุนการนำเสนอภาพก่อเหตุถี่ๆซ้ำๆ จะทำให้คนซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นได้  หากเปลี่ยนเป็นการ นำเสนอภาพฮีโร่คือ เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ  เจ้าหน้าที่พยาบาล พลเมืองดี ผู้ที่กล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ละเมิดกฏหมาย แทน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.เรือนจำทักษิณป่วย ไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน  

13 มิ.ย. – ศาลฎีกาฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ” เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด เดือน ก.ค.68 ด้าน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยอมรับไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนคดีชั้น 14 ในเรื่องการบังคับคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลได้สอบถาม นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน เกี่ยวกับกระบวนการในการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ พยาบาลเวรตรวจอาการแล้ว ถึงโทรไปหาแพทย์ และมีความเห็นให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และอาการก็ตรงกลับใบส่งตัวที่แพทย์เขียนไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน จากนั้นศาลได้นัดไต่สวน 6 นัด ในเดือนกรกฎาคม 2568 และใน […]

เครื่องบินแอร์อินเดีย ตกใส่อาคารที่พักแพทย์ ตาย 241 รอดคนเดียว

นิวเดลี 13 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประสบอุบัติเหตุตกใส่อาคารในย่านชุมชนทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 241 ราย รอดชีวิตปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคนในอาคารบ้านเรือนเสียชีวิตเท่าไร เครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลน์เนอร์ ของสายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบิน เอไอ171 (AI171) พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประกอบด้วยผู้โดยสาร 230 คน และลูกเรือ 12 คน เพิ่งจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียเมื่อเวลา 13.34 น. วานนี้ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานแกตวิค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนบนเครื่องบินเป็นชาวอินเดีย 169 คน และมีพลเมืองอังกฤษ 53 คน โปรตุเกส 7 คน และแคนาดา 1 คน คลิปที่ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ในอินเดียส่งต่อกันแพร่หลาย เผยให้เห็นช่วงเวลาขณะที่เครื่องบินโดยสารลำนี้เครื่องบินค่อยๆ […]

แพทยสภายืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย

กทม. 12 มิ.ย.- แพทยสภามีมติ 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย ปมส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 รพ.ตร. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยหลังการประชุมการลงมติแพทยสภากว่า 5 ชม. ว่า กรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน คือวันนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ วาระนี้มีคณะกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯ ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งคณะ ซึ่งมีคะแนนโหวตมากกว่า 60 เสียง ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ คาดว่าคำสั่งจะออกได้ในวันพรุ่งนี้ และจะมีผลการลงโทษหลังจากคำสั่งไปยังผู้ถูกร้องเรียน ทั้งนี้ […]

“ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน

ฉะเชิงเทรา 12 มิ.ย. – “ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน จ.ฉะเชิงเทรา พบกองขยะอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์นำเข้ากองเต็มพื้นที่ ฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการขยายผลจากข้อมูลที่ผู้ใหญ่บ้าน ต.เขาหินซ้อน อ้างว่ามีบริษัทคัดแยกขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้นำดินไปแจกฟรี แต่กลับพบว่าเป็นขยะอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทแห่งนี้จะรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ วัสดุแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง โดยบริษัทดังกล่าวรับซื้อเศษขยะมาจากญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งมาที่โรงงานรีไซเคิลในไทยให้คัดแยก แต่สำแดงเป็นโลหะผสม (Mixed metal) และมีการเสียภาษีต่อเที่ยวตามน้ำหนัก รวมแล้วประมาณ 33,000 บาท การคัดแยกขยะจะใช้แรงงานต่างด้าวคัดแยกเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดงออก โดยในส่วนของเหล็ก จะส่งโรงเหล็กในประเทศ สำหรับอะลูมิเนียมกับทองแดง จะส่งกลับไปฮ่องกง เพื่อขายต่อ โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นเศษโลหะ อีกทั้งยังมีกองขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใช้งานต่อได้จำนวนมากถูกทิ้งไว้ในประเทศ โรงงานดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2558 แต่ก่อนหน้านี้พบว่ามีการขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดเก็บวัสดุไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน คือกองอยู่ลานโล่งด้านนอกอาคาร ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบกิจการ และการปล่อยน้ำเสีย […]

ข่าวแนะนำ

ประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” ยึด MOU43 แก้ปมชายแดน-ลดตึงเครียด

14 มิ.ย.- “ไทย-กัมพูชา” แถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC เจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบ MOU43 นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เป็นประธานการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) ร่วมกับนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายกล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในการเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกันและการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรมแผนที่ทหาร กองทัพบก กองทัพเรือ สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา (เทียบเท่ากระทรวง) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา กองทัพภาคต่าง ๆ ของกัมพูชา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาของกัมพูชาทุกจังหวัด -สำนักข่าวไทย

ลุ้นผลประชุม JBC ไทย-กัมพูชา

14 มิ.ย.- ประชาชน 2 ประเทศลุ้นผลการประชุม JBC ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว นายเปง สุเพีย ผู้สื่อข่าวกัมพูชา รายงานว่าก่อนการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ขณะนี้เป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ผ่านไปกว่า 2 ชม. ยังไม่ออกมา ประชาชนสองประเทศลุ้นผลการประชุม ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว .-สำนักข่าวไทย

Cambodia and Thailand hold a closed-door meeting ahead of the official meeting of JBC in Phnom Penh

ไทย-กัมพูชา หารือกลุ่มเล็กก่อนประชุม JBC

พนมเปญ 14 มิ.ย. – สื่อกัมพูชารายงานว่า กัมพูชาและไทย ได้เปิดการหารือกลุ่มเล็กฝ่ายละ 5 คน ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (JBC) ที่กรุงพนมเปญ ในวันนี้ เว็บไซต์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานว่า ในการหารือกลุ่มเล็กที่มีผู้ร่วมเข้าเพียง 10 คน ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายเจีย ฬำ  รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ส่วนฝ่ายไทยนำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศด้านกิจการชายแดน ซึ่งเป็นนักการทูตผู้เชี่ยวชาญช่วงข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร พร้อมกับเผยแพร่ภาพชุดการหารือดังกล่าว.-814.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! โจรชิงทองที่ลำพูน หนีกบดานพัทยา

พัทยา 14 มิ.ย.- หนีไม่รอด! รวบโจรบุกเดี่ยวชิงทอง จ.ลำพูน หนีกบดานพัทยา สารภาพติดการพนันออนไลน์ จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายรูปร่างสูงประมาณ 160-165 ซม. ทราบชื่อต่อมาคือ นายประกร อายุ 47 ปี ขี่รถจักรยานยนต์สีดำ บุกเดี่ยวเข้าไปชิงทองคำรูปพรรณ จากห้างทองฯ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 5 บาท ไปจำนวน 2 เส้น มูลค่ากว่า 500,000 บาท แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดตำรวจ สภ.จว.ชลบุรี ได้เบาะแสว่า นายประกร ที่มีหมายจับศาลจังหวัดลำพูน ในข้อหากระทำความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” หลังก่อเหตุได้หนีมากบดานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงนำกำลังออกติดตาม กระทั่งพบตัวนายประกร อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านพัทยากลาง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุม เจ้าตัวให้การยอมรับ เป็นผู้ก่อเหตุวิ่งราวทองจากห้างทองในพื้นที่จังหวัดลำพูนจริง หลังก่อเหตุได้หนีมายังพื้นที่เมืองพัทยาและนำทองไปขายในห้างทองแห่งหนึ่ง ตอนแรก คิดว่าจะเดินทางเข้ามาตัว แต่ก็สายไปเนื่องจากมาโดนเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุลงไปนั้นเนื่องจากตนเองติดการพนันออนไลน์ จนเงินหมด […]