ก.แรงงาน 6 ก.พ.-กรมสวัสดิการฯเชิญผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกหารือ ผลกระทบจากการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยในฐานะประธานการประชุมหารือ รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ว่า การขับเคลื่อนเรื่องขยะพลาสติก รัฐบาลได้เร่งรัดการดำเนินแผนงานตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573 มีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งภายในปี 2565 ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติกเป็นกิจกรรมชื่อ “Everyday Say No To Plastic Bags”
จากการบูรณาการร่วมกันของภาครัฐบาล ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านสะดวกซื้อทั้ง 75 บริษัท ทั่วประเทศเพื่อเป็นสัญลักษณ์การขับเคลื่อนลดละเลิกใช้พลาสติกเริ่มจากงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้ว ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา นำไปสู่การแก้ปัญหาขยะพลาสติกให้เป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทกิจการในกลุ่มพลาสติก ซึ่งหากสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นเลิกกิจการ ก็อาจส่งผลให้ลูกจ้างตกงาน ดังนั้น จึงได้เชิญมาร่วมกันหารือ รับฟังข้อเสนอแนะ ลดผลกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานต่อไป
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจประเภทพลาสติกทั่วประเทศที่มีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของกรม มีจำนวนทั้งสิ้น 4,240 แห่ง ลูกจ้าง 284,213 คน ซึ่งการหารือในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย เจ้าของสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกใน 5 จังหวัดปริมณฑล และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมทั้งสิ้น 129 คน
ผลจากการประชุมทำให้ทราบว่าสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ได้เตรียมแผนการรองรับไว้แล้วทั้งในเรื่องเครื่องจักร และกำลังคน โดยกำหนดให้แล้วเสร็จในปี 2565 ตามแผนของโรดแมป แต่หากการรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกเร่งรัดเกินไป อาจส่งผลให้สถานประกอบกิจการปรับตัวไม่ทันในด้านงบประมาณของค่าชดเชย หากมีความจำเป็นต้องลดคนงาน ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะได้นำข้อมูลดังกล่าว มาเตรียมมาตรการรองรับที่เหมาะสมต่อไป.-สำนักข่าวไทย