กทม.31ม.ค.-ศูนย์บริการโลหิตฯ สภากาชาดไทย ออกประกาศ “มาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทางโลหิต” ฉบับที่ 1 งดรับบริจาคโลหิตชั่วคราวจากผู้มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ
ศ.กิตติคุณ นพ.ชัยเวช นุชประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย รักษา การในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ลงนามในประกาศศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ที่2/2563 เรื่อง มาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทางโลหิต ฉบับที่ 1 ระบุว่า
ตามที่มีรายงานการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและมีรายงานพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศนอนพักรักษาอาการที่โรงพยาบาลในประเทศไทย อีกทั้งมีการยืนยันแล้วว่าเชื้อสามารถติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้ ดังนั้นเพื่อให้งานบริการโลหิตของประเทศไทยเป็นไปอย่างเพียงพอปลอดภัย และป้องกัน มิให้รับบริจาคโลหิตจากผู้มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทยจึงกำหนดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการรับบริจาคโลหิตดังต่อไปนี้
1.มาตรการงดรับบริจาคโลหิตชั่วคราวจากผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019
1.1 .ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ งดบริจาคโลหิต 14 วัน นับตั้งแต่วันที่เดินทางออกมาและไม่มีอาการผิดปกติใดๆ (แนะนำให้งดบริจาคโลหิต 14 วันเพื่อเว้นระยะความปลอดภัย 1 เท่าของระยะเวลาฟักตัวของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์อื่นในร่างกายที่มีรายงานแล้ว 2-10 วันขณะที่ยังไม่มีรายงานระยะฟักตัวของเชื้อตัวใหม่นี้)
1.2 ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019ให้งดบริจาคโลหิตเป็นเวลา 28 วันหรือ 4 สัปดาห์ นับตั้งแต่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019และหรือหายป่วยโดยไม่มีอาการใดๆหลงเหลืออยู่ (แนะนำให้งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์เพื่อเว้นระยะความปลอดภัย 1 เท่าของระยะเวลาการพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อื่นในโลหิต 2-16 วัน)
1.3 ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019งดบริจาคโลหิตเป็นเวลา 28 วันหรือ 4 สัปดาห์)
2.มาตรการเรื่องการให้ข้อมูลการเจ็บป่วยหลังบริจาคโลหิตและการเรียกคืนโลหิตและส่วนประกอบโลหิต
2.1 ภายใน 14 วันหลังบริจาคโลหิต หากผู้บริจาคโลหิตได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019ให้ผู้บริจาคโลหิต ญาติ หรือ โรงพยาบาลที่ทำการรักษาแจ้งให้หน่วยงานที่ให้หน่วยงานที่ให้บริการโลหิต ได้แก่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ หรือโรงพยาบาลที่รับบริจาคโลหิตทราบทันที
2.2 หน่วยงานที่ให้บริการโลหิต ต้องมีแนวทางปฏิบัติในการรับข้อมูลข่าวสาร จากผู้บริจาคโลหิต แล้วดำเนินการกักกันหรือเรียกคืนโลหิตและส่วนประกอบโลหิต จากผู้บริจาคโลหิตครั้งนั้นๆ ที่ยังอยู่ในคลังและยังไม่ได้ให้ผู้ป่วยกลับคืนเพื่อการตรวจวินิจฉัยและทำลาย
2.3 โรงพยาบาลต้องมีระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยของโลหิตที่ให้แก่ผู้ป่วย(hermovigilance system และติดตามผู้ป่วยที่ได้รับโลหิตจากผู้ป่วยที่ได้รับโลหิตจากผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม 2563 .-สำนักข่าวไทย