กรุงเทพฯ 7 ม.ค.-กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยปี 2562 สั่งปิดโรงงานไปแล้ว 6
โรงงานและสั่งแก้ปัญหากรณีถูกร้องเรียน 35 โรงงาน ส่วนแผนงานปี 2563 เน้นดำเนินงาน
4 แผนงาน มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ยุค 4.0 และยังเน้นตรวจเข้ม 5,000-6,000
โรงงาน ป้องกันความเสี่ยงน้ำเสีย อากาศเสีย กากอุตสาหกรรมและความปลอดภัย
นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวถึงผลการดำเนินในรอบปี
2562 ว่า ได้มีคำสั่งกรณีที่มีการร้องเรียนและตรวจพบว่าโรงงานมีการกระทำความผิด
โดยมีคำสั่งปิดโรงงานปี 2561 จำนวน 4 โรงงาน และในปี 2562 จำนวน 6 โรงงาน
พร้อมทั้งสั่งการให้ดำเนินการแก้ไขปี 2561 จำนวน 36 โรงงาน และปี 2562 จำนวน 35
โรงงาน ส่วนกรณีการทิ้งกากอุตสาหกรรมที่จังหวัดสระแก้ว
ถือเป็นหนึ่งในกรณีที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาเพียง 12 วัน
ดำเนินการตั้งแต่การตรวจสอบ การดำเนินคดี และการสั่งปิดโรงงานชั่วคราว
นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม
ยังประสานการทำงานแบบบูรณาการโดยตรวจกำกับร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานอื่น ๆ
นอกเหนือจากการทำงานตามปกติ เช่น บูรณาการทำงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงแรงงาน ตรวจกำกับด้านความปลอดภัย, บูรณาการในการตรวจกำกับดูแลกับหน่วยราชการอื่น ตามพ.ร.บ.โรงงาน
และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย เช่น
การดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว
(เศษพลาสติก E-Waste และ Used –E) โดยทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมจังหวัด,
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กระทรวงพาณิชย์,
กรมศุลกากร, กรมควบคุมมลพิษ
และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่ในจังหวัดที่มีปัญหา
รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องการอนุญาตนำเข้า-นำผ่านของสารโซเดียมไซยาไนด์ร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ
ส่วนผลงานด้านอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในรอบปี 2562 เช่น
การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมสู่ Factory 4.0, การอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทำความเย็นและหม้อน้ำในโรงงาน, การส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้โรงงานปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรในโรงงาน
กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแล้วกว่า 2,131 เครื่อง หรือจำนวนโรงงาน 107 โรงงาน,
การส่งเสริมสนับสนุนเพื่อยกระดับโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวจำนวน
2,921 ราย จากเป้าหมายที่ 2,000 ราย ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2554
ถึงปัจจุบันมีจำนวนโรงงานที่ได้รับเครื่องหมายอุตสาหกรรมสีเขียวแล้วกว่า 37,412
ราย, ส่งเสริมโรงงานให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-
DIW) จำนวน 353 ราย โดยปัจจุบันมีจำนวนรวมแล้วกว่า 4,547 ราย
สำหรับ ข้อมูลโรงงานที่เปิดใหม่และขยายกิจการในปี 2562 มี จำนวน 4,379
โรงงานลดลงจากปีก่อนร้อยละ 15.80 เกิดการจ้างงาน 207,602 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ
1.52 มีเงินลงทุน 483,672.29 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.86
ส่วนโรงงานที่ขอเลิกกิจการมี 1,743 โรงงาน ลดลงร้อยละ 12.89 จำนวนคนงาน 43,987 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ
5.68 และจำนวนเงินทุน 56,562.52 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.10
ด้านการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในปี 2563 น่ามีการตั้งและขยายโรงงานที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา
เห็นได้จากสถิติย้อนหลังประกอบกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลด้านต่าง
ๆ ที่ทำให้โรงงานเข้ามาลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตามประเมินว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการปรับตัวตามแนวทางการพัฒนาของประเทศ
หรือการปรับตัวสู่อุตสาหกรรม 4.0 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
เพราะภาคอุตสาหกรรมของไทยจะมีความพร้อมที่จะไปแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีศักยภาพ
และเป็นมิตรกับชุมชน
ซึ่งถือเป็นหัวใจของการส่งเสริมทิศทางภาคอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน
นายประกอบ กล่าวถึง แผนดำเนินงานในปี 2563 ว่า ปีนี้ กรมฯ เน้น 4
แผนงานหลัก ประกอบด้วย การดำเนินนโยบายการปกป้องสิ่งแวดล้อม และปราบปรามผู้ประกอบการที่กระทำผิด
จนเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแบบเข้มงวดมากขึ้น การพัฒนากฎหมาย และระบบดิจิทัล
เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0, การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
และการพัฒนาบุคลากร
ด้านสิ่งแวดล้อมมีแผนในการตรวจกำกับโรงงาน 5,000 – 6,000 โรงงาน
เพื่อเฝ้าระวังเรื่องของความเสี่ยงด้านต่าง ๆ อาทิ น้ำเสีย อากาศ กากอุตสาหกรรม
ความปลอดภัย เกี่ยวกับสารเคมี อัคคีภัย ระบบไฟฟ้า หม้อน้ำ หลังจากพบว่าในปี 62
มีชาวบ้านหรือชุมชนร้องเรียนโรงงานที่สร้างความเดือดร้อนมายัง กรอ. จำนวน 594
เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 61 เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของกลิ่นเหม็นมากที่สุด
389 เรื่อง รองลงมาเป็นเสียงดังจำนวน 200 เรื่อง, เรื่องฝุ่นละอองจำนวน 136 เรื่อง,
ทำงานกลางคืนจำนวน 89 เรื่อง และเรื่องเขม่าควันจำนวน 79 เรื่อง
ขณะเดียวกัน หากพบว่าโรงงานมีการปล่อยมลพิษทางกรมฯจะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับ
และจัดการ เพื่อความรวดเร็ว แม่นยำ
เนื่องจากกรมมีระบบรายงานมลพิษแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ทั้งน้ำ อากาศ
และกากอุตสาหกรรม รวมทั้งยังเดินหน้าพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและพัฒนาระบบอนุญาตและการกำกับดูแล
ทั้งข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการวัตถุอันตราย
เชื่อมโยงเอกสารและข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐ การนำระบบบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและทำเนียบสารเคมีและวัตถุอันตราย
รวมถึงการผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่จะช่วยลดมลพิษ
การดำเนินการตาม พ.ร.บ. โรงงานฉบับใหม่ นับเป็นงานใหม่ในปี 2563
ซึ่งนอกจากจะสร้างระบบ มาตรฐานในการบริหารจัดการ
และกำกับดูแลโรงงานให้มีความคล่องตัวและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่มีความน่าสนใจ
สามารถดึงดูดนักลงทุนได้แล้วนั้น ยังมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ
เช่น เรื่องการรับรองตนเองของผู้ประกอบการ และการกำกับดูแล Third Party แล้วยังต้องอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรให้
สามารถปฏิบัติงานรองรับได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็น
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่หน่วยงานท้องถิ่นในการกำกับดูแลโรงงาน
นอกจากนี้ ในปี 2563 จะผลักดันโครงการต่าง ๆ เช่น
โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว
ที่ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวเบื้องต้นมอบหมายให้
กองส่งเสริมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมโรงงาน (กทส.)
ประสานการดำเนินการกับอุตสาหกรรมจังหวัดอย่างใกล้ชิด,
โครงการอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในพื้นที่ จะประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมจังหวัด
โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหนาแน่น
กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
และกลุ่มพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และ
โครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสายหลัก เริ่มจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา
และคลองอู่ตะเภา ซึ่งจะขยายผลไปอีก 25 ลุ่มน้ำสายหลัก และโครงการอื่น ๆ
ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศการน่าลงทุน เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและต้องเป็นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่เคียงข้างชุมชนได้อย่างมีความสุข.-สำนักข่าวไทย