กรุงเทพฯ 6 ธ.ค.- ส.อ.ท.ระบุ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 5-6 บาท ขึ้นผิดเวลาลดขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก เพราะเศรษฐกิจโลกซบเซา เงินบาทแข็งค่า ส่งผลกระทบเอสเอ็มอีลำบาก
นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สายแรงงาน กล่าวว่า การอนุมัติปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 5-6 บาทต่อวันของคณะกรรมการค่าจ้างกลางในวันนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเห็นว่า การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ถือว่าพอที่จะอยู่ในกรอบโดยแพงกว่ากรอบ 1.50 ถึง 2 บาท ที่จริงแล้ว ตามกรอบการพิจารณาควรปรับเพิ่มค่าแรง 3 บาทถึง 3 บาท 50 สตางค์ต่อวันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจไม่ดีเศรษฐกิจโลกซบเซาลง หลายโรงงานปิดตัวลง หลายโรงงานเลือกที่จะชะลอการจ้างงาน ขณะที่หลายโรงงานให้พนักงาน พักงานชั่วคราวโดยจ่ายค่าจ้างให้ร้อยละ 75 ของเงินเดือนถือเป็นสัญญาณบอกว่า เศรษฐกิจปัจจุบันมีปัญหา ผู้ประกอบการจึงเลือกที่จะทำอย่างนี้ เพราะว่าคำสั่งซื้อไม่มี และเห็นว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามา ภาวะขณะนี้คือ อยู่ในช่วงรอติดตามว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่
ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในวันนี้ นับเป็นการขึ้นในจังหวะที่ไม่ดี เพราะเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันถึงแม้ว่าการขึ้นค่าจ้างนั้นจะอยู่ในกรอบที่วางหลักเกณฑ์ไว้ นอกจากนี้ การขึ้นค่าจ้างในครั้งนี้ยังทำให้ผู้ประกอบการที่แย่อยู่แล้วจะตัดสินใจว่าจะรอต่อไปหรือจะปิดบริษัท
“ความเห็นของผมก็คือ การขึ้นค่าจ้างในครั้งนี้ไม่น่าจะขึ้นและจะเกิดผลเสียต่ออุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะผู้ประกอบการในต่างจังหวัดจะได้รับผลกระทบไม่ทางตรงและก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วไม่กระทบ “ นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติกล่าวถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัดว่า ผลกระทบทางตรงที่ SMEs ถูกกระทบคือ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 5-6 บาท ทำให้พวกเขาไม่สามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้จริงๆ ส่งผลกระทบทางอ้อมก็คือผู้ประกอบการที่กำลังชั่งใจว่า จะทำธุรกิจต่อไปหรือเลิกทำธุรกิจ การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า ไม่อยากทำธุรกิจต่อไปแล้ว อีกส่วนก็คือโรงงานขนาดกลางที่รับออเดอร์จากโรงงานขนาดใหญ่ และจะส่งต่องานให้กับโรงงานขนาดเล็ก หากไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาก็จะมีปัญหา
“ ส.อ.ท.เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เนื่องจากเป็นมติของคณะกรรมการค่าจ้างกลางที่ออกมาแล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะให้ภาครัฐช่วยดูแลผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้โดยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทั้งการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน“
อีกปัจจัยหนึ่งซึ่งตอกย้ำว่า การขึ้นค่าแรงไม่ถูกเวลา ไม่เหมาะสม ลดขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ก็คือ เป็นการปรับขึ้นในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นนับจาก 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาถึงร้อยละ 7-8 ซึ่งทำให้ทุกสิ่งที่มีต้นทุนจากเงินบาทจะแพงขึ้นตามเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันอยู่ที่วันละ 325 บาท หากเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ต้นทุนค่าแรงที่ใช้คำนวณในการตั้งราคาขายสินค้าส่งออกก็จะต้องตั้งแพงขึ้นอีก ค่าแรงจะแพงขึ้นอีก 25 บาท จะทำให้เท่ากับต้องจ่ายค่าแรงในอัตรา 350 บาทต่อวัน ปัจจุบัน อุตสาหกรรมส่งออก มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP รวมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย . – สำนักข่าวไทย