กรุงเทพฯ 3 ธ.ค. – ตลท.เผยเดือน พ.ย. SET Index ปรับตัวลดลงน้อยที่สุดในอาเซียน ผลจากการปรับน้ำหนักหุ้นใน MSCI Global Standard Index
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,590.59 จุด ลดลง 0.7% จากสิ้นเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปี 2561 โดยกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มทรัพยากร กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index ส่วนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai เดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 52,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ 7,721 ล้านบาทในตลาดหลักทรัพย์ไทย ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากขึ้นในตลาดอาเซียนส่วนใหญ่ และ SET Index ปรับตัวลดลงน้อยที่สุดในอาเซียน ซึ่งเป็นผลจากการปรับน้ำหนักหุ้นใน MSCI Global Standard Index เดือนพฤศจิกายน โดยจำนวนหลักทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้น 3 หลักทรัพย์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดอาเซียนอื่นส่งผลให้ไทยมีจำนวนหลักทรัพย์ใน MSCI สูงที่สุดในอาเซียน
ด้าน Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทยสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ระดับ 17.1 เท่า และ 19.5 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า และ 15.7 เท่าตามลำดับ สำหรับอัตราเงินปันผลตอบแทนสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ระดับ 3.16% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.92%
ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากสิ้นปี 2561 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดัชนี ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ของไทยอยู่ที่ระดับ 80,370 ล้านบาท ถือเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนพฤศจิกายน 2562 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 438,228 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ถึงสิ้นปีนี้ ยังมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน คือ เม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาซื้อ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และตลาดหุ้นไทยทาง MSCI มีการปรับหุ้นใหม่เข้าคำนวณ และตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 คาดว่าจะดีขึ้น จากเป็นช่วงไฮท์ซีซั่นของภาคการท่องเที่ยว และส่งออก ส่วนประเด็นที่จะต้องติดตามเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังไม่มีความชัดเจน
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ปี 2563 เป็นปีที่ดีของธุรกิจเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนในครั้งแรก (IPO) ซึ่งขณะนี้มีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาให้ความสนใจและได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใกล้เคียงกับปีนี้ พร้อมมองว่าแม้ว่าภาวะตลาดหุ้นปัจจุบันจะผันผวน แต่สิ่งสำคัญของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องขึ้นกับ 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.ความพร้อมของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน 2.บริษัทมีความต้องการใช้เงิน และ 3.สภาวะตลาด . – สำนักข่าวไทย