กรุงเทพฯ 27 พ.ย. – หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานยอดขาย 9 เดือนแรกปี 2562 รวม 8.62 ล้านล้านบาท ลดลง 1.3% และกำไรสุทธิ 6.46 แสนล้านบาท ลดลง 15.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากผลของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวน 693 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 714 หลักทรัพย์ นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 พบว่าหลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 8,623,725 ล้านบาท ลดลง 1.3% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 660,734 ล้านบาท ลดลง 24.6% และมีกำไรสุทธิ 645,647 ล้านบาท ลดลง 15.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2562 หลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 2,850,489 ล้านบาท ลดลง 6.1% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 203,654 ล้านบาท ลดลง 28.9% และมีกำไรสุทธิ 201,347 ล้านบาท ลดลง 18.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
“หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยได้รับผลกระทบรอบด้าน ทั้งปัญหาสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เมื่อประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้ยอดขายในไตรมาส 3 หดตัวแรงขึ้นและมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นต่อเนื่อง กระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานหลักและกำไรสุทธิปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหลักทรัพย์จดทะเบียนไทยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ลดลงมาอยู่ที่ 7.7% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 10.0% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (net profit margin) ลดลงมาอยู่ที่ 7.0% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 8.2%” นายแมนพงศ์ กล่าว
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 3/2562 หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยมีการใช้หนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.37 เท่า จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 1.28 เท่า
อย่างไรก็ดีหมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ ซึ่งเติบโตจากการขยายสินเชื่อส่วนบุคคล หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ได้ผลบวกจากกลุ่มอาหารสด เครื่องดื่ม และการขยายตลาดไปกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึง หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งยอดขายและกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2562
ด้านผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มียอดขายรวม 139,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% มีกำไรจากการดำเนินงาน 4,710 ล้านบาท ลดลง 19.2% อย่างไรก็ดี หากรวมผลของรายการพิเศษในกลุ่มทรัพยากร ส่งผลให้ภาพรวมมีกำไรสุทธิ 8,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.0% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน . – สำนักข่าวไทย