สมาคมผู้ประกอบการสานพลังเตรียมฟ้องรัฐยกเลิก 3 สาร

กรุงเทพฯ 18 พ.ย. – 3 สมาคมนำเข้าและจำหน่ายสารเคมีเกษตร เตรียมฟ้องรัฐหากออกประกาศยกเลิก 3 สาร ชี้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังบังคับให้จ่ายค่าทำลายตันละแสนบาท ล่าสุดทำหนังสือถึงนายกฯ และ ก.พ.ร.สอบกรมวิชาการเกษตร เนื่องจากไม่อนุญาตให้นำเข้าและส่งออกสารเคมีการเกษตรทุกชนิดมาหลายเดือนแล้ว โดยกฎหมายยกเลิก 3 สารยังไม่มีผลบังคับใช้


นายวีรวุฒิ กตัญญูกุล นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญจาก น.ส. มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่มีข่าวว่าจะเชิญสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีไปประชุมที่กระทรวงเกษตรฯ วันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ จากการหารือร่วมกับสมาคมอารักขาพืชไทยและสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทยเห็นตรงกันว่าหากมีหนังสือเชิญมาก็จะไปประชุม แม้ไม่คาดหวังว่า น.ส. มนัญญา จะรับฟังเหตุผลอะไร เนื่องจากที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า ตัดสินใจกำหนดนโยบายต่าง ๆ โดยใช้อารมณ์และขาดข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ แต่จะไปเพื่อชี้แจงถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแก่ผู้ประกอบการ แต่ยังรวมถึงเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรมเกษตร ปัญหาการค้าระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจชาติ

ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 14 วัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะลงนามในประกาศกระทรวงฯ ปรับสถานะสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน และครอบครอง ดังนั้น การที่ น.ส.มนัญญา พร้อมจะสั่งการกรมวิชาการเกษตรออกใบอนุญาตส่งสารเคมี 3 ชนิดขายคืนบริษัทผู้ผลิตหรือส่งออกไปประเทศที่3 นั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะหากขายคืนบริษัทผู้ผลิตราคาก็ได้น้อยกว่าที่ซื้อมาทั้งยังต้องจ่ายค่าขนส่งด้วย ส่วนการส่งขายประเทศที่ 3 คงขายได้ไม่มาก จากจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในประเทศเกือบ 30,000 ตัน เนื่องจากกระชั้นชิดเวลาที่จะออกประกาศยกเลิกการใช้แล้ว ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรไม่ออกใบอนุญาตให้ทั้งนำเข้าและส่งออกสารเคมีทางการเกษตรทุกชนิดมาหลายเดือน ทั้งที่กฎหมายยกเลิก 3 สารยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสียหาย ล่าสุดได้ทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อให้สอบสวนกรมวิชาการเกษตรฐานกระทำผิด พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 รวมทั้งทำหนังสือร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีด้วย


นอกจากนี้ ยังร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ได้แก่ สมาคมผู้อาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่งเหลืองและรำข้าวซึ่งใช้เมล็ดถั่วเหลืองแห้งและกากถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบ ตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แป้งสาลี เบเกอรี่ และขนมขบเคี้ยวต้องใช้วัตถุดิบ คือ ข้าวสาลีที่นำเข้าจากต่างประเทศทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อชี้แจงผลกระทบจากการที่จะไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้ได้ เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกมาไทยใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดทั้งสิ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแต่ละรายสตอกวัตถุดิบไว้เพียง 2-3 เดือน หากนำเข้าไม่ได้ โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องปิดตัวลง จะมีคนตกงานมากมาย และเกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมาแน่นอน สิ่งที่ภาครัฐไม่ได้นึกถึงก่อนตัดสินใจเรื่องนี้ คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศที่อาจล่มสลาย นอกจากนี้ ยังทำผิดข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ไทยจะถูกร้องเรียนว่ากีดกันทางการค้าจากหลายประเทศ

นายวีรวุฒิ กล่าวต่อว่า เตรียมจะร้องศาลปกครองเช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรกร โดยจะรอดูว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไร เมื่อกลุ่มเกษตรกรยื่นคำร้อง หากไม่มีการคุ้มครองชั่วคราว ทั้ง 3 สมาคมจะร้องเป็นอีกคดีหนึ่ง ส่วน น.ส.มนัญญา ระบุว่า ผู้ประกอบการต้องเป็นผู้จ่ายค่าทำลายเองนั้น เชื่อว่าบริษัทที่นำเข้าและจำหน่าย รวมถึงร้านค้าต่าง ๆ จะฟ้องอีกคดีความหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนนำเข้าและจำหน่ายกับกรมวิชาการเกษตรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 

“ 50 ปีที่ผ่านมามีการยกเลิกสารเคมีทางการเกษตรไป 98 ชนิด โดยไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติให้ผู้ประกอบการจ่ายค่าทำลาย แต่กรมวิชาการเกษตรจะมีกำหนดระยะเวลาให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าคงค้างได้หมด ทางออกของเรื่องนี้มีเพียงประการเดียว คือ ยึดตามมติเดิมของคณะกรรมการวัตถุอันตรายจำกัดการใช้ กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมให้มีการวิจัยว่า สารเคมีการเกษตรที่จะยกเลิกนี้ หากใช้อย่างถูกต้องจะมีพิษจริงหรือไม่ เนื่องจากงานวิจัยที่นำมาพิจารณาไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล อีกทั้งจะสามารถทดลองการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและหาสารอื่นที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมมาทดแทน จึงประกาศยกเลิก ซึ่งประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติเช่นนี้ทั้งนั้น หากวันที่ 1 ธันวาคมประกาศยกเลิกทันที ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจของประเทศจะล่มสลายในระยะเวลาอันรวดเร็ว” นายวีรวุฒิ กล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า ภาคใต้ฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก