กรุงเทพฯ 14 พ.ย. – กระทรวงเกษตรฯ ยังไม่ปิดช่องเอาผิด “ปารีณา” ทำฟาร์มไก่ที่ ส.ป.ก. ชี้ประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว แต่ยังไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ให้เกษตรกรแม้แต่รายเดียว เข้าข่ายครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.เกินกว่า 500 ไร่
แหล่งข่าวระดับสูงด้านกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ยังมีช่องทางเอาผิด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงไก่ชื่อเขาสนฟาร์มในที่ดิน ส.ป.ก. เนื้อที่ 1,706 ไร่ บริเวณหมู่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรีได้ แม้เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.จะรายงานต่อเลขาธิการ ส.ป.ก. เพื่อนำเรียน ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของฟาร์มไก่ ส.ป.ก. และแบ่งแปลงให้มีเนื้อที่ไม่เกิน 500 ไร่ แต่หลังจากประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. ยังไม่ได้นำที่ดินแปลงนี้เข้าสู่กระบวนการจัดสรรสิทธิ์และยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่เกษตรกรแม้แต่รายเดียว
จากการให้ถ้อยคำของ น.ส.ปารีณา ต่อเจ้าหน้าที่สำนักกฎหมาย ส.ป.ก. ระบุว่า ครอบครัวได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินผืนนี้ตั้งแต่ปี 2489 ต่อมากรมป่าไม้ส่งมอบให้ ส.ป.ก.ประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเมื่อปี 2554 ต่อมาเมื่อมีคำสั่ง คสช.ที่ 36/2559 เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยมิชอบกฎหมาย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2557 ให้ยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก.จากผู้ที่ครอบครองเกิน 500 ไร่ เพื่อนำมากระจายสิทธิ์ให้แก่เกษตรกรและผู้ยากไร้เข้าทำกิน
แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินจังหวัดปี 2557 อาจเอื้อประโยชน์แก่ครอบครัว น.ส.ปารีณา ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดราชบุรี โดยแบ่งซอยเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย เนื้อที่ไม่ถึง 500 ไร่ จำนวน 58 แปลง แล้วนำเสนอต่อผู้บริหาร ส.ป.ก. แต่ปิดบังว่าเนื้อที่รวมกันมากถึง 1,706 ไร่นั้น ครอบครองโดยบุคคลเดียวคือ น.ส. ปารีณา จึงรอดพ้นจากการตรวจสอบมาได้
ทั้งนี้ ยังพบข้อน่าสังเกตที่ว่าหลังจากมีข้อร้องเรียน น.ส.ปารีณา ยังไม่ได้นำชี้แนวเขตและให้เจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน ซึ่งยังไม่เป็นไปตามขั้นตอนของการพิสูจน์สิทธิ์ครอบครองที่ดินตามกฎหมาย ส่วนข้อกล่าวอ้างที่ว่า ตรงกลางของที่ดินผืนนี้มีหนังสือการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็น นส.3 และ สค.1 นั้นจำเป็นต้องพิสูจน์ความถูกต้องของเอกสารด้วย
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า น.ส.ปารีณา ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ว่า เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน 1,706 ไร่จริง ตั้งแต่ที่ดินยังเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ภบท. 5 มาโดยตลอด ทั้งที่ปี 2561 ปลัด กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือแจ้งเวียนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ยกเลิกการรับชำระภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินของรัฐทุกประเภทไปแล้ว อีกทั้งถือว่าการเสียภาษี ภทบ. 5 ไม่ได้เป็นหลักฐานในกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้น การให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ปารีณา บ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว ที่ยังไม่มีการมอบ ส.ป.ก.4-01 ให้ตามหลักกฎหมายแล้วไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปครอบครองได้
สำหรับการพิสูจน์ว่า น.ส.ปารีณา ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.เกินกว่า 500 ไร่ แหล่งข่าวกล่าวว่า สามารถใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งจะเห็นรั้วของฟาร์มสามารถนำมากำหนดพิกัดและระบุเนื้อที่ได้ว่า เป็นแปลงเดียวที่มีขนาด 1,700 กว่าไร่จริงหรือไม่ นอกจากนี้ หาก น.ส.ปารีณา ไม่นำชี้แนวเขต เจ้าหน้าที่สามารถรังวัดจากพื้นที่โดยรอบรั้วของฟาร์มได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ประโยชน์โดยบุคคลเดียว
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ส.ป.ก.สามารถดำเนินการตามมาตรา 44 กำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย เปิดให้ผู้ครอบครองหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจมาแสดงสิทธิ์ หากไม่มาตามเวลาที่กำหนด สรุปได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีผู้ครอบครองสามารถยึดคืนหลวงทันที แต่หากมาพบเจ้าหน้าที่ต้องนำเอกสารถือครองสิทธิ์ทั้งหมดมาแสดง ซึ่งจะต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร หากฟังไม่ขึ้นสามารถใช้มาตรา 44 ยึดคืนได้ทันทีเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถฟ้องคดีแพ่งฐานบุกรุกที่ของรัฐและเรียกร้องค่าเสียหายจากการเข้าทำประโยชน์โดยมิชอบ ตลอดจนค่าชดเชยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ซึ่งระบุว่าห้ามเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ รวมถึงการถาง และทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษมาตรา 108 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติตามระเบียบ หากผู้ฝ่าฝืนเพิกเฉยสามารถมีคำสั่งให้ออกจากที่ดินและหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“การเร่งชี้แจงว่า น.ส.ปารีณา ไม่ได้บุกรุกที่ ส.ป.ก.อาจเป็นการด่วนสรุปเกินไป จนเกิดข้อกังขาว่ามีความพยายามที่จะช่วยเหลือกันในกลุ่ม ส.ส.พลังประชารัฐหรือไม่ หาก ส.ป.ก.ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สามารถฟ้องร้องเอาผิดต่อ น.ส. ปารีณาตามประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว อีกสิ่งที่สำคัญ คือ คำพูดของน.ส.ปารีณา ผ่านสื่อมวลชน ซึ่งยอมรับว่าเข้าทำประโยชน์ที่ดินแปลงนั้นทั้งหมด สามารถใช้มาตรา 44 ยึดคืนได้ ซึ่งต้องดูท่าทีของ ส.ป.ก.ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร” แหล่งข่าวกล่าว.-สำนักข่าวไทย