กรุงเทพฯ 7 พ.ย. – ภาวะสงครามการค้ากดดันราคาปิโตรเคมี ส่งผล PTTGC กำไรไตรมาส 3/62 หดร้อยละ 79 เหลือ 2,663 ล้านบาท คาดปีหน้าราคาน้ำมัน 58-65 เหรียญ/บาร์เรล
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 2,663 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 79 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,792 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,202 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 105,154 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 106,748 ล้านบาท และลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 136,712 ล้านบาท
โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปริมาณการขายที่ปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของธรุกิจอะโรเมติกส์ที่เสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 ในไตรมาสก่อน ประกอบกับส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โรงกลั่นและส่วนต่างของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 11,308 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 69 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 36,008 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จากผลกระทบของสงครามการค้าเป็นหลัก
ทั้งนี้ ไตรมาส 3/2562 ส่วนต่างของผลติภัณฑ์โรงกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2562 โดยเฉพาะส่วนต่างผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล-น้ำมันดิบดูไบ เป็นผลจากมาตรการการลดการใช้น้ำมันเตากำมะถันสูงในธุรกิจเดินเรือตามนโยบายของ International Marine Organization (IMO) และส่วนต่างของน้ำมันเตาที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่น มีค่าการกลั่น (GRM) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 3.46 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 4.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 3/2562
ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เบนซีนกับคอนเดนเสทปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ และการลดลงของระดับสินค้าคงเหลือของเบนซีนในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับคอนเดนเสทปรับตัวลดลง แม้ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ยังคงมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง เนื่องจากตลาดมีความกังวลจากกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเข้ามา
นางสาวดวงกมล กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดน้ำมันปี 2563 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 58-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาปี 2563 จะอยู่ที่ 320-330 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากปี 2562 สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 170-180 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 เนื่องจากอุปสงค์ใหม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปี 2563 บริษัทฯ มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 2 ในไตรมาส 1/2563 เป็นเวลา 19 วัน ส่วนผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องปี 2563 มีแนวโน้มลดลงจากปีนี้เล็กน้อย คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะอยู่ 910-1,030 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปีหน้าบริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงของโรงโอฟินส์ 2/1 เป็นเวลา 39 วัน และโรงโอเลฟินส์ 2/2 เป็นเวลา 35 วัน.-สำนักข่าวไทย