กรุงเทพฯ 28 ต.ค. – กระทรวงพลังงานเตรียมของขวัญปีใหม่ปรับโครงสร้างราคาหลังยกระดับราคาปาล์มด้วยการประกาศใช้ไบโอดีเซลบี 10 สร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงฯ กำลังพิจารณาถึงของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนเพิ่มเติมทั้งปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน และดูแลชาวสวนปาล์มด้วยการพัฒนาโอเลโอเคมิคอลต่อยอดมูลค่าปาล์มน้ำมัน หลังจากที่มีการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล B 10 เป็นน้ำมันพื้นฐานหลักตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ หรือ CPO ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศหรือประมาณ 2.2 ล้านตัน/ปี ซึ่งการสร้างสมดุลจะช่วยสร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้น รวมทั้งยังช่วยลดปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 และยังประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ถึงประมาณ 1.8 ล้านลิตร/วัน
รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการใช้ดีเซล B10 โดยมีกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย รวมทั้งสมาพันธ์สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทยเข้าร่วมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นดีเซลฐานแทน B7 เดิม กำหนดให้ B10 เป็นดีเซลฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 และให้ B7 เป็นดีเซลทางเลือกสำหรับรถรุ่นเก่าและรถยุโรป และB20 เป็นดีเซลทางเลือกสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ตั้งเป้าหมายจะสามารถจำหน่าย B10 ได้ทุกสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศวันที่ 1 มีนาคม 2563 อย่างไรก็ดี ผู้ใช้รถยนต์ตรวจสอบว่ารถรุ่นไหนสามารถใช้น้ำมันดีเซล B10 ได้หรือไม่ จากเว็บไซต์ของกรมธุรกิจพลังงาน www.doeb.go.th หรือที่ศูนย์บริการหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ของผู้ผลิตรถยนต์แต่ละยี่ห้อ
“ในการดูแลไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้า CPO จากต่างประเทศมาใช้ในการผลิต B 100 ขณะนี้กระทรวงกำลังหาแนวทางควบคุม 2-3 แนวทาง เช่น ใส่มาร์กเกอร์ใน CPO ที่ผลิตบีไอดีเซล เป็นต้น และเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าน้ำมันเรื่องภาระหัวจ่ายน้ำมันหลายชนิด ก็จะได้ข้อสรุปว่าจะยกเลิกน้ำมันกลุ่มเบนซินประเภทใด ” รมว.พลังงาน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้ขอให้กระทรวงพลังงานไปชี้แจงถึงราคาน้ำมันที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีราคาสูงซึ่งทางกระทรวงฯ โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ให้ข้อมูลสร้างความเข้าใจ ว่าราคานำเข้าเป็นไปตามกลไกตลาดโลก แต่ราคาของไทยที่แตกต่างจากต่างประเทศมาจากภาษีน้ำมัน ภาษีท้องถิ่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยในส่วนของภาษีนั้นก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังจะพิจารณา โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานคงจะมาดูถึง 2 กองทุนว่าจัดเก็บในอัตราเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งกรรมาธิการฯ ได้ให้ความเห็นว่ากรอบของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงถึง 40,000 ล้านบาท สูงเกินไปหรือไม่ ขณะที่กองทุนอนุกรักษ์จะปรับอย่างไรให้เกิดการใช้ที่เหมาะสม. -สำนักข่าวไทย