ดิเอมเมอรัลด์ 28 ต.ค. – อสมท ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จัดสัมมนา 7 ทศวรรษจีนใหม่ฯ รมว.พาณิชย์เผย 6 ปัจจัย ทำให้จีนเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จัดงานสัมมนา “7 ทศวรรษจีนใหม่ ก้าวต่อไปที่โลกเฝ้ามอง”โดยมีนายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนา
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวเปิดสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ “การพัฒนาจีน แบบอย่างที่โลกเรียนรู้” ว่า วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นวันชาติจีน ไทยกับจีนมีสัมพันธ์ทางการทูตกันมา 44 ปี นับตั้งแต่ปี 2518 เมื่อ 70 ปีที่แล้วประชาชนชาวจีนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงคนละ 49.7 หยวนต่อปี หรือ 250 บาทเท่านั้น และปี 2562 ชาวจีนมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยมากถึง 28,200 หยวนต่อปี หรือ ประมาณ 141,000 บาท ปัจจุบันจีนมีคนจนต่ำกว่าร้อยละ 1 ของประเทศจากประชากร 1,400 ล้านคน
สำหรับผลผลิตของจีนที่เป็นสินค้าส่งออกมีมากมายหลายอย่าง เช่น รถไฟความเร็วสูง เหล็ก ปูนซีเมนต์ คอมพิวเตอร์ มือถือ และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ จีนยังเป็นประเทศที่มีการจดสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก จีดีพีใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ไปค้นหาคำตอบว่าทำไมจีนถึงก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจเอเชียและโลก พบว่า มี 6 ปัจจัย คือ 1.จีนให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมือง 2.จีนส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก 3.จีนปฏิรูประบบเศรษฐกิจจากล่างสู่บน 4.จีนลงทุนระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทุกมณฑล 5.ภาครัฐและเอกชนของจีน มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด 6.จีนใช้กองทัพเอกชนบุกทะลวงการค้าไปทั่วโลกเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศ
นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษ “จีนใหม่ในทศวรรษที่ 8 เป้าหมายและหนทางที่จะก้าวเดิน” ว่า จีนกำลังเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการขับเคลื่อนประเทศ โดยรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นได้ผนึกกำลัง เพื่อสร้างจีนใหม่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ จีนยังวางยุทธศาสตร์ 3 ก้าว โดยตั้งเป้าปี 2578 จีนจะเป็นประเทศทันสมัยในระบบสังคมนิยม ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2562 จีดีพีของจีนเติบโตเพียง 6.2 % แต่ก็ยังเติบโตมากที่สุดของโลก รวมทั้งจีนไม่กลัวเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งผู้นำจีนและผู้นำสหรัฐจะไปพบกันที่ประเทศชิลีเร็ว ๆ นี้ เพื่อนำเรื่องสงครามการค้าสู่โต๊ะเจรจา สำหรับตนเองรับตำแหน่งอยู่ในประเทศไทยมากว่า 2 ปีแล้ว ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในบ้านญาติพี่น้อง ซึ่งทั้งไทยและจีนมีแนวทางในการพัฒนาที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีการเสวนา “เปิดมุมมอง ปรับความคิด ความร่วมมือไทย-จีน” โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เริ่มลงทุนในจีนเมื่อปี 2552 มี 3 โรงงาน ใน 3 เมือง สิ่งที่ได้เรียนรู้จากจีน คือ การจะเป็นประเทศที่พัฒนาได้จะต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง และที่สำคัญการกระจายอำนาจให้รัฐบาลท้องถิ่น ทำให้การพัฒนาไม่ได้รวมศูนย์กลางอยู่ที่กรุงปักกิ่งเพียงเมืองเดียว เช่น บริษัท หัวเหว่ย มีฐานอยู่ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และบริษัท อาลีบาบา มีฐานอยู่ที่เมืองหางโจว เป็นต้น
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทไปลงทุนในจีน 28 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีความเห็นว่านักธุรกิจรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปลงทุนที่จีนเพียงอย่างเดียว แต่ควรหันมาลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ใกล้บ้านเรา เพราะการลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ก็สามารถผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันได้เช่นกัน
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า เวลามองจีนต้องมองถึงโอกาสและความท้าทาย โดยขณะนี้จีนใช้ข้อมูลหรือเดต้า Data เพื่อสร้างรายได้ให้ประชากรและใช้ข้อมูล ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันจีนมียุทธศาสตร์ชาติถึง 50 ปี และให้โอกาสเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน .-สำนักข่าวไทย