กรุงเทพฯ 25 ต.ค. – ธนาคารโลกเผยรายงานผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายประกอบธุรกิจ Doing Business 2020 ไทยครองอันดับที่ 21 จาก 190 ประเทศทั่วโลก ขยับขึ้น 6 อันดับ คะแนนพุ่ง 80.1 คะแนน สูงสุดในรอบ 10 ปี ครองอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
นางสาวจอยซ์ แอนโทเน อับบลาฮิม ผู้ช่วยชาญด้านการพัฒนาภาคเอกชน ธนาคารโลก นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า ปี 2020 ธนาคารโลกจัดอันดับไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ อยู่ในอันดับที่ 21 จาก 190 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับที่ 27 ในปีที่ผ่านมา ใกล้เข้าสู่กลุ่ม Top 20 ของโลก และที่สำคัญมีคะแนนรวมทุกด้านสูงถึง 80.1 คะแนน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยมีคะแนนห่างจากประเทศฟินแลนด์ที่มีอันดับสูงกว่า เพียง 0.1 คะแนนเท่านั้น ผลการจัดอันดับและคะแนนที่ดีขึ้นเป็นผลจากการที่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการบริหารจัดการภาครัฐอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 46 โดยมีการปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการภาครัฐสะดวกขึ้น
ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่มีอันดับสูงสุด สะท้อนการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ จนติด Top 10 ของโลก มี 2 ด้าน คือ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ได้อันดับ 3 ของโลก และด้านการขอใช้ไฟฟ้า ได้อันดับ 6 ของโลก แล้วยังมีด้านที่เป็นการปฏิรูปการบริการภาครัฐที่ทำให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น คือ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง
สำหรับปีนี้มีการปฏิรูปสำคัญส่งผลต่อการจัดอันดับของประเทศไทย 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย 86 คะแนน เป็นผลจากดัชนีด้านความสะดวกในการฟ้องคดีของผู้ถือหุ้น (Ease of Shareholder Suits Index) เพิ่มขึ้นจาก 8 คะแนน เป็น 9 คะแนน โดยมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน และดัชนีด้านความโปร่งใสของบริษัท (Corporate Transparency Index) ได้รับการปรับคะแนนเพิ่มขึ้นในเรื่องสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในการเสนอวาระการประชุมต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น 2.ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง 77.3 คะแนน แก้ไขระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขออนุญาต และการควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2525 เพื่อลดขั้นตอนการตรวจสอบอาคาร จากเดิม 8 ครั้ง เหลือ 3 ครั้ง และลดระยะเวลาขออนุญาตจากเดิม 118 วัน เหลือ 113 วัน
3.ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ 92.4 คะแนน สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อหัวลงจากร้อยละ 3.1 ของรายได้ประชาชาติต่อหัว เหลือเพียงร้อยละ 3.0 ของรายได้ประชาชาติต่อหัว 4.ด้านการขอใช้ไฟฟ้า 98.7 คะแนน มาจากการปรับลดอัตราค่าบริการการขอใช้ไฟฟ้า (200 แอมแปร์) จากเดิม 77,050 บาท เหลือ 0 บาท และลดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้าจาก 3 ขั้นตอน เหลือ 2 ขั้นตอน และ 5.การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย 76.8 คะแนน โดยแก้กฎหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการล้มละลายและฟื้นฟูกิจการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2561) มีผลทำให้อัตราเงินที่ได้คืน (cents on the dollar) สูงขึ้นจากเดิม 69.8 เซ็นต์ต่อดอลลาร์ เป็น 70.1 เซ็นต์ต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ แผนการดำเนินการต่อไปจะดำเนินการไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากประชาชน และผลักดันการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระประชาชน โดยมีเป้าหมายจะยกเลิกการใช้กระดาษให้ได้ภายในปี 2563 พร้อมทั้งยกเลิกการออกบัตร โดยพัฒนาระบบทะเบียนให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ของประชาชน เชื่อมโยงข้อมูลกับเลขประจำตัวประชาชนภายในปี 2563 รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้ระบบให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น.-สำนักข่าวไทย