สำนักข่าวไทย 12 ต.ค. – สมศักดิ์ ลุยหาดใหญ่ตรวจสถานบันเทิง ยันไม่ได้มุ่งทำลายธุรกิจ แค่ทำความเข้าใจ เตือนเยาวชนห่างยาเสพติด พร้อมย้ำตรวจเส้นผมหาสารเสพติดย้อนหลังได้ถึง 6 เดือน
เมื่อเวลา 21.00 น.เมื่อค่ำวานนี้(11 ต.ค.) ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(ยธ.) เปิดกิจกรรมการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและสถานบริการ ตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมของรัฐบาล พร้อมปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสถานบริการต่างๆ ใน อ.หาดใหญ่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน อาทิ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมควบคุมโรค สำนักงาน ป.ป.ส. บรรยากาศการตรวจเป็นอย่างกันเอง ขณะที่นายสมศักดิ์ ได้เดินเข้าสถานบันเทิง เพื่อขึ้นเวทีกล่าวกับกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยว ก็ได้รับเสียงปรบมือต้อนรับ ก่อนที่จะกล่าวแนะนำเรื่องข้อกฎหมาย เช่น อายุไม่ถึง 20 ปี ห้ามเข้าสถานบันเทิง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ห้ามเล่นการพนัน และเมื่อร้านปิดให้รีบกลับบ้านเพื่อความปลอดภัย
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กิจกรรมนี้เพื่อสร้างการรับรู้กับประชาชนและลูกหลานในพื้นที่ เพราะในปัจจุบันเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทรวงยุติธรรมเน้นคือเรื่องยาเสพติด ที่วันนี้ผู้ต้องขังกว่าร้อยละ 80 เป็นเรื่องยาเสพติด ยืนยัน ไม่ได้มุ่งหวังทำลาย หรือมาจับกุม แต่มาเพื่อทำความเข้าใจว่าลูกหลานเราไม่ควรเดินเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งกระทรวงอื่นๆ ก็ต้องร่วมกันช่วยแก้ไขและป้องกัน รวมถึงต้องช่วยกันสร้างกำแพงป้องกัน ดังนั้นหากสถานบันเทิงต่างๆให้ความร่วมมือในการป้องกัน ด้วยการให้บริการกับผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้อายุไม่ถึง ไม่เปิดเกินเที่ยงคืน และไม่ให้นำยาเสพติดเข้าร้าน ไม่ยอมให้มีการค้ามนุษย์ ซึ่งตนอยากให้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นช่วยกัน เพื่อให้ลูกหลานมีอนาคตก้าวหน้า
ส่วนการตรวจหาสารเสพติด ในอดีตการตรวจปัสสาวะ พ้น 3 วันไม่ค่อยได้ผล แต่ตอนนี้นิติวิทยาศาสตร์สามารถตรวจเส้นผมได้ผลย้อนหลังถึง 6 เดือน และราชการมีระบบการตรวจสอบที่ละเอียดและทันสมัยมากขึ้น ดังนั้นทุกคนควรละเลิกและห่างไกลจากคนเสพด้วย เพราะควันอาจติดเส้นผมได้
พร้อมขอความร่วมมือ หากมีเบาะแสขอให้แจ้งสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ตำรวจ ที่บูรณาการร่วมกัน ทั้งนี้ ก.ยุติธรรมจะพยายามดำเนินโครงการแบบนี้ให้ทั่วประเทศ และขอยืนยันว่า จะเน้นการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก โดยจะไม่ทำให้ธุรกิจการค้าเสียหาย แต่หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น. -สำนักข่าวไทย