กรุงเทพฯ 12 ก.ย. – กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับทหาร ตำรวจ ศุลกากร และดีเอสไอ ทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากว่า 10 ล้านชิ้น ประกาศเอาจริงพร้อมปราบปราม
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ ทูตานุทูต และผู้แทนภาคเอกชนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา ศิลปิน นักร้อง นักแสดง และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน
อย่างไรก็ตาม ของกลางที่นำมาทำลายมาจากการจับกุมและตรวจยึดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 251,019 ชิ้น กรมศุลกากร 9,818,358 ชิ้น และดีเอสไอ 551,448 ชิ้น รวมของกลางจากทั่วประเทศ 10,620,825 ชิ้น มูลค่ารวมประมาณ 550 ล้านบาท ประกอบด้วย สินค้าหลายชนิด เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แผ่นซีดี/วีซีดี แว่นตา เครื่องสำอาง หมวก และผ้าห่ม หลังจากทำลายวันนี้แล้วจะนำสินค้าเหล่าไปทำลายผ่านเตาเผาที่มีความร้อนสูงที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อไม่ให้สินค้าเหล่านี้กลับมาในตลาดได้อีก
ทั้งนี้ สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของผิดกฎหมายจะต้องนำมาทำลายอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหล่านี้กลับไปหมุนเวียนในท้องตลาดหรือนำกลับมาใช้ได้อีก นอกจากนี้ ของละเมิดบางรายการเป็นอันตรายหรือคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค การทำลายของกลางฯ ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่จะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) และเป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ค้า นักลงทุนและเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญต่อปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการทำลายแต่ละครั้งจะมีจำนวนของกลางที่ถูกอายัดไว้ก่อนทำลายจำนวนมาก ซึ่งได้สั่งการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจัง เพื่อให้สินค้าที่ละเมิดน้อยลง และนอกจากสินค้าแล้วยังจะเข้มงวดการขายสินค้าที่ไม่ถูกต้องในอินเทอร์เน็ตอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย