กรุงเทพฯ 3 ก.ย.- ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตรียมยื่นฟ้อง”หมิ่นประมาท”นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล หลังยื่นร้องทุกข์ต่อศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้ระงับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ตร. โดยพาดพิงอ้างเคยเรียกรับเงิน 13 ล้านบาทจากบ่อนพนัน
หลังจากที่วานนี้มีการเผยแพร่ข่าวว่า นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ไปยื่นเรื่องร้องทุกข์ คัดค้านและขอให้ทบทวนการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งเป็น “รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ของพลตำรวจโทสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมมีการอ้างถึงเรื่องที่พลตำรวจโทสุวัฒน์ เคยมีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากบ่อนพนันในสมัยที่เป็นผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 7 รวมเป็นเงินกว่า 13 ล้านบาท และขอให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ รอฟังผลการพิจารณาคดีจากสำนักงาน ปปช.ก่อนการพิจารณาแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว
พลตำรวจโทสุวัฒน์ เปิดเผยว่า ทราบเรื่องนี้จากสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอข่าวแล้ว อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีนายสันธนะ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมชี้แจงว่า ที่มาของเรื่องนี้เริ่มจากเหตุการณ์เมื่อปี 2546 ซึ่งขณะนั้นพบว่านายสันธนะ สมัยที่ยังเป็นตำรวจสันติบาล มาเปิดบ่อนพนันในพื้นที่ สน.บางกอกน้อย และถูกจับกุม ซึ่งเรื่องนี้ปรากฎเป็นข่าวโด่งดังในอดีต ขณะนั้นตนได้ทำเรื่องรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาไปตามขั้นตอนปกติ จนมีคำสั่งให้นายสันธนะออกจากราชการ ต่อมานายสันธนะก็ให้ข่าวกับสื่อมวลชนอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งจากตน ก็มีการฟ้องร้องคดีในความผิดฐานหมิ่นประมาท
ซึ่งในชั้นไต่สวนนายสันธนะได้ขอให้ตนแสดงบัญชีธนาคาร ย้อนหลังไป 2-3 ปี ก่อนที่จะรับตำแหน่งผู้กำกับการสืบสวนนครบาล 7 ซึ่งทนายความพยายามชี้ให้เห็นว่า เงินที่เข้าออกทุกบัญชีรวมกันมียอดเงินกว่า 10 ล้านบาท เป็นเงินที่ได้จากบ่อนพนัน ซึ่งตนก็ชี้แจงไปว่า เงินที่ได้มานั้น เกิดจากการประกอบธุรกิจ ซึ่งสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ทั้งหมด และยอดเงินที่อยู่ในบัญชีจริงๆ แค่หลักแสนบาทเท่านั้น โดยที่ไม่มีการพูดถึงเรื่องบัญชีที่เป็นหนี้กับธนาคาร สุดท้ายศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้สำหรับกรณีที่มีการยื่นฟ้องเรื่องดังกล่าว คาดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ปรากฎมีข่าวว่าตนจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีการเสนอเรื่องร้องเรียน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วก็พร้อมให้มีการตรวจสอบ แต่เรื่องที่ถูกพาดพิงโดยไม่ใช่ข้อเท็จจริง ก็เห็นควรต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป .-สำนักข่าวไทย
