กระทรวงมหาดไทย 29 ส.ค.-รัฐมนตรีมหาดไทย ประชุมคอนเฟอร์เร้น ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ กำชับทำงานโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (วีดีโอคอนเฟอร์เร้น)
โดย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวแนะนำรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยทั้ง 2 คน พร้อมมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีช่วยฯ ทั้ง 2 คน มีประสบการณ์ด้านการเมืองมาก่อนตน มีพรรคการเมือง มีข่าวสารการเมืองในพื้นที่ หากจะไปจำกัดให้ดูแลแค่ 2 กรม คงจะไม่ครอบคลุม จึงให้ดูภาพรวมด้วยกัน นำนโยบายพรรค ประสบการณ์การทำงานมาหารือการทำงานร่วมกัน
“รัฐมนตรีทั้ง 3 คน จะทำงานแบบเดินไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับการทำงานของรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ขอให้ทำงานตามหน้าที่ ช่วยกันเป็นมันสมองให้กับรัฐมนตรี ส่งข้อมูลการทำงานมาให้ผม แต่ไม่ใช่มีหน้าที่ไปสั่งการ ก้าวก่ายการทำงานของหน่วยงานอื่น ห้ามทำแบบนั้น ทุกอย่างมีกฎ จะไปสั่งการคนอื่นไม่ได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า กฎหมายที่ออกในช่วงนี้ เน้นเรื่องความโปร่งใสเป็นหลัก การใช้งบประมาณจึงยุ่งยาก ซับซ้อน และใช้เวลามาก ก็เป็นปัญหาบ้าง แต่เพื่อความโปร่งใส การทำงานต้องเน้นใช้หลักธรรมาภิบาล เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ อส.ที่จังหวัดชลบุรี
“ทราบว่าคนที่ลงไปทำงาน ทำงานด้วยความตั้งใจ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ปกติคนจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงไหม แต่คนนี้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ผมไม่ได้พูดว่าเข้าใจเขา แต่เข้าใจว่าเขาทำงานอย่างไร แต่คนที่ทำงานก็ไปใช้กำลังกับคนที่พุ่งเข้ามาชน ท่านจึงต้องยึดหลักธรรมาภิบาลให้ดี สังคมไม่ให้ท่านทำตามความรู้สึก หรือวิจารณญาณของท่านได้เลย นอกจากนี้ หลักนิติธรรมก็สำคัญมาก เพราะสุดท้ายเรื่องจะกลับไปที่คำว่า ท่านทำตามกฎหมาย หรืออำนาจหน้าที่หรือไม่ ถ้าท่านไม่ยืนตามนี้ ท่านจะมีปัญหา บ้านเมืองจะเดินออกไปจากเส้นนี้ไม่ได้ ต่อมาคือหลักคุณธรรม แม้ทำตามหลักนิติธรรม แต่ถ้ามองว่าไม่มีคุณธรรม เช่น กรณีการประท้วงที่ต่างประเทศที่เจ้าหน้าที่เอาโล่กระแทกผู้หญิง แม้จะทำตามกฎหมาย แต่ภาพที่ออกไปอ่อนไหวมาก หรือแม้แต่กรณีอาหารกลางวันที่ครูสาวโดนย้าย จนตอนนี้ย้ายครูกลับมา เอา ผอ.ออกไปแทน เป็นต้น หากใช้หลักคุณธรรม ทำงานอย่างใส่ใจ ย่อมเป็นผลดี” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สังคมไทยวันนี้ คิดว่ายังไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใสของการทำงานของข้าราชการมากนัก ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในการทำงานของเรา
“จึงขอสั่งการและยกตัวอย่าง หากมีคนอ้างชื่อผมไปติดต่อ หรือเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ ยืนยันว่าจะไม่มีเด็ดขาด ถ้าเขาไปอ้าง แล้วท่านทำตาม ผมจะถือว่าท่านร่วมมือกับเขา เพราะผมไม่มีเรื่องแบบนี้เด็ดขาด แต่หากท่านดำเนินคดี ท่านสามารถทำได้เต็มที่ เรื่องการทำงานก็เช่นกัน ถ้าช้าเพราะอ้างว่าทำงานกับคนที่อยู่กับผม ติดตามผม ผมจะถือว่าท่านมีความผิดด้วย ท่านต้องอธิบายทุกอย่างและรับผิดชอบทุกอย่างได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาคือหลักการมีส่วนร่วม รัฐบาลนี้ใช้คำว่า พลังประชารัฐ คือ เน้นให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วม คิดร่วมกัน ทำร่วมกัน และแก้ไขร่วมกัน และเน้นหลักของความคุ้มค่า เน้นการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพ อย่างบางปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ปัญหายาเสพติด หรือขยะ ที่มีความซับซ้อนในการแก้ปัญหามาก ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องทำงานบูรณการร่วมกันกับหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัด ดึงกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาใช้
“นอกจากนี้ ฝากปลัด อธิบดี ผู้ว่าฯ หากใช้ความพึงพอใจในการประเมินการทำงานของผู้ทำงาน บ้านเมืองคงเดินไปลำบาก เพราะท่านคงจะไม่ได้คนเก่งคนดีมาทำงาน เรามีแบบฟอร์มการประเมินการทำงาน หากประเมินทุกคนจากการทำงาน ท่านจะมีแขนขาที่แข็งแรง ท่านปลัดฯ ต้องรับเรื่องนี้เป็นแนวทางไป เราต้องได้ทั้งคนเก่งและคนดีเข้าทำงาน ผมก็จะบังคับตัวเองให้อยูในแนวทางนี้ ครอบครัวผมไม่มีมาก ไม่มีใครมากวนใจท่านในทางใดอย่างแน่นอน” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการสำคัญ ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผ่านมาทำได้เรียบร้อย สมพระเกียรติ กระทรวงมหาดไทยมี 3 โครงการที่สำคัญที่เราเข้าไปอยู่ในร่มเงาของโครงการเฉลิมพระเกียรติ ได้แก่ โครงการพัฒนาลำน้ำคูครอง โครงการ 1 จังหวัด 1 ถนนเฉลิมพระเกียรติ และโครงการส่วนสาธารณะในพื้นที่ ซึ่งโครงการเหล่านี้นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองด้วย ทั้งนี้ โครงการที่สำคัญอีกโครงการหนึ่งคือโครงการจิตอาสา 904 เฉลิมพระเกียรติ ขอให้ทุกคนร่วมใจกันดำเนินการให้เรียบร้อย เพราะเป็นหน้าที่ของเราโดยตรง
ขณะที่นายนิพนธ์ กล่าวว่า ในส่วนของเรื่องศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ตนขอกำชับผู้ว่าฯ ให้ติดตามสถานการณ์ และรายงานผลกลับมายังกระทรวงทุก 3 เดือน ซึ่งทางกระทรวงตั้งเป้าจะลดการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียให้น้อยที่สุด โดยตั้งเป้าภายในปี 2563 จะต้องให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกิน 10 รายต่อประชากร 1 แสนคน ทั้งนี้ขอให้ดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ควบคู่กับการใช้วินัยจราจร.-สำนักข่าวไทย