พรรคอนาคตใหม่ 27 ส.ค.-“ปิยบุตร” เชื่อ “ไพบูลย์” ใช้ช่องบิดเบือน กม. ยุบพรรคตัวเอง ชี้ไม่สามารถทำได้ ขอ กกต.พิจารณากฎหมาย อย่าดูตามตัวอักษร
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงการยุบพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ว่า ประเด็นการยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ตาม พ.ร.บ.การเมือง 2560 มีเจตนารมณ์ที่จะไม่ควบรวมพรรคการเมือง ผู้ร่างมีบทเรียนจากกรณีที่พรรคไทยรักไทย เมื่อเข้าสู่สภาก็ไปควบรวมพรรความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคชาติพัฒนา เพื่อให้ได้เสียงส่วนใหญ่เกิน 300 เสียง ในกฎหมายฉบับนี้จึงเขียนไว้ในหมวด 9 ว่าหากจะควบรวมพรรคการเมืองแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ การควบรวมพรรคตามกฎหมายในปัจจุบันจะเกิดได้ในเงื่อนไขดังนี้ คือ ถ้าอยู่ในสมัยประชุมสภาฯ ห้ามควบรวมพรรคการเมืองเด็ดขาด เพราะป้องกันการควบรวมหลังเลือกตั้งเสร็จ อาจเกิดการส่งพรรคนอมินีลงแข่ง เสร็จแล้วมาควบรวม และการควบพรรคเล็กไปอยู่กับพรรคใหญ่ ก็ห้ามทำ แต่หากจะรวมพรรคกัน ต้องให้กำเนิดพรรคใหม่ สุดท้ายเมื่อรวมพรรคกันแล้วต้องมีการประชุมใหญ่เพื่อมีมติออกมาว่าจะรวมพรรคกัน เจตนารมณ์ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ต้องการให้เกิดการควบรวมพรรค
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า แต่กฎหมายมีช่องไว้สำหรับพรรคการเมืองที่ไปต่อไม่ได้ และอยากจะเลิกกิจการ ซึ่งมีเขียนไว้ใน มาตรา 91 (7) ว่าหากพรรคมีอยากจะเลิกกิจการตามมติที่เขียนไว้ สามารถเลิกกิจกรรมพรรคได้ เพื่อคุ้มครอง ส.ส.ที่อยู่ในสังกัด หากมีการเลิกพรรค ก็ให้ปฏิบัติเหมือนถูกยุบพรรค และต้องหาพรรคใหม่อยู่ภายใน 60 วัน ปัญหาคือ การยกเลิกพรรคต้องไม่กระทบกระเทือนกับการควบรวมพรรค ต้องไม่ใช้ช่องทางบิดเบือนไปเป็นการควบรวมพรรค
“กรณีของพรรคประชาชนปฏิรูป ตามที่ กกต.ประกาศให้สิ้นสภาพ ด้วยเหตุที่มีการเลิกพรรคตามข้อบังคับ ในความเห็นของผม จากการพิจารณากฎหมายทั้งระบบ คือ การเลิกพรรคแบบนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นการใช้บทบัญญัติเลิกพรรคแบบบิดผัน ที่ไม่สอดคล้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง เพราะรู้ว่าเลิกตรง ๆ ไม่ได้ จึงหนีไปใช้ช่องเลิกพรรค เพื่อควบรวมพรรค” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ต่อจากนี้จะเกิดผลเสียเป็นลูกระนาด เพราะพรรคเล็กจะใช้ช่องทางนี้ในการควบรวมกับพรรคใหญ่ ส่งผลการคำนวณคะแนนแบบบัญชีรายชื่อใหม่ทั้งหมด หากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคที่เลิกกิจการไป จะนำคะแนนมารวมที่พรรคไหน หรือทิ้งน้ำไป และจะส่งผลให้ ส.ส.พรรคเล็กที่ย้ายพรรคใหญ่ คือจะกลายเป็น ส.ส. ที่ไม่มีวันหลุดอีกเลย
“ยกตัวอย่าง หากนายไพบูลย์ ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ แล้วเกิดการเลือกตั้งซ่อมใหม่ในเขตหนึ่ง จนคะแนนดิบเปลี่ยน ก็ต้องนำคะแนนมาคำนวณใหม่ เดิมนายไพบูลย์อยู่พรรคประชาชนปฏิรูปก็ต้องหวังว่าคะแนนตัวเองจะไม่ถึง แต่เมื่อย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ จะไม่มีวันหลุดจากการเป็น ส.ส. แต่คนที่จะหลุดคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับสุดท้ายของพรรคพลังประชารัฐ ถ้าผมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับสุดท้ายของพรรคนั้น ก็คงไม่อยากรับนายไพบูลย์เข้ามา ส่วนผลเสียอีกอย่าง คือ เป็นการทำลายระบบพรรคการเมือง และทำลายเจตจำนงค์ที่ประชาชนเลือกนายไพบูลย์ แต่นายไพบูลย์ทิ้งคะแนนกว่า 4 หมื่นคะแนน ดังนั้นการตีความของ กกต.ต้องตีทั้งระบบ ไม่ใช่ตีความตามแค่ตัวอักษร ไม่เช่นนั้นจะเกิดการนำเอาตัวอักษรมาเล่นแร่แปรธาตุ หลบช่องกฎหมายตลอดเวลา” นายปิยบุตร กล่าว.-สำนักข่าวไทย