นนทบุรี 26 ส.ค. – พาณิชย์ย้ำจีนปรับภาษีตอบโต้สหรัฐไทยติดตามใกล้ชิด แม้กระทบส่งออก แต่หลายสินค้าไทยยังได้ประโยชน์
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีจีนประกาศปรับแผนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐร้อยละ 5 – 10 รวม 5,078 รายการ มูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งมีแผนขึ้นภาษีรถยนต์ร้อยละ 25 และชิ้นส่วนยานยนต์ร้อยละ 5 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ว่า การขึ้นภาษีของจีนครั้งนี้มีเป้าหมายรายการสินค้าต่าง ๆ อาทิ ถั่วเหลือง ฝ้าย เนื้อหมูและวัว น้ามันดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และเซมิคอนดัคเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องบินเล็ก เป็นต้น โดยสหรัฐประกาศตอบโต้ทันที โดยเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจีน สินค้ากลุ่ม 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นร้อยละ 15 จากเดิมร้อยละ 10 บังคับใช้ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค. 62 และสินค้ากลุ่ม 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นภาษีไปแล้วเป็นร้อยละ 30 จากเดิมร้อยละ 25 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 อีกทั้งสั่งการให้บริษัทเอกชนของสหรัฐถอนการลงทุนออกจากจีนทันที
อย่างไรก็ตาม มาตรการของจีนค่อนข้างเฉพาะเจาะจงและมุ่งเป้าสินค้าที่เป็นฐานเสียงสาคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหลัก เช่น ในแถบ Midwest และตอนใต้ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรผู้ส่งออกถั่วเหลือง อีกทั้งสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐในตลาดจีน ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ รวมถึงน้ำมันดิบ โดยจีนยังเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบที่สำคัญของสหรัฐ มีสัดส่วนประมาณ 6% ของการส่งออกต่อปี ตลอดจนอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี และเครื่องจักรของสหรัฐ ทั้งนี้ สนค.ได้ตรวจสอบรายละเอียดรายการสินค้าที่จีนขึ้นภาษีสหรัฐ พบว่าสินค้าส่วนใหญ่จีนได้ใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐไปแล้วก่อนหน้านี้ ในล็อต 250,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ขณะที่มีสินค้าใหม่ประมาณ 2,000 รายการ และพบว่าสินค้าไทยมีศักยภาพในการเป็นแหล่งส่งออก ทดแทนในหลายรายการ อาทิ ปลาแช่แข็งและแปรรูป ผลิตภัณฑ์นมและครีม เครื่องจักรสาน เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร และส่วนประกอบ อุปกรณ์ไฟฟ้า ส่วนประกอบและอุปกรณ์
อย่างไรก็ตาม แม้การตอบโต้ครั้งล่าสุดระหว่างสหรัฐและจีนจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทย แต่ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นสร้างความวิตกกังวลว่าจะเร่งส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศไทย (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกกำลังขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง และ IMF ได้ประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2562 ไว้ที่ร้อยละ 3.2 ซึ่งเดือนกรกฎาคม 2562 ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 3.3 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อีกทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจในจีนและเยอรมนี ประเด็นเรื่อง Brexit ความตึงเครียดในฮ่องกง หรือการลาออกจากตำแหน่งผู้นำอิตาลี ล้วนเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ประเด็นค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้า ไทยในตลาดที่สาม ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเรื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่วันนี้ (26 ส.ค.) ค่าเงินหยวนในประเทศซื้อขายในตลาดเอเชียร่วงลงมาอยู่ที่ 7.1487 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบกว่า 11 ปี นับตั้งแต่ต้นปี 2551 อย่างไรก็ตาม คาดว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในแถบยุโรป และญี่ปุ่น และแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยอีกหลายประเทศจะช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของสหรัฐ (FED) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกปีนี้เพื่อรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะที่ค่าเงินมีแนวโน้มผันผวน ผู้ส่งออกควรเร่งทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และผู้นำเข้าควรทำสัญญาระยะยาวกับคู่ค้า เพื่อเป็นหลักประกันการซื้อขาย และลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากข้อพิพาททางการค้า
นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหรัฐจะใช้มาตรการใดต่อไป ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้รูปแบบทางการค้าและการลงทุนเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คิด ทั้งนี้ ไทยควรใช้โอกาสที่สหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนให้บริษัทพิจารณาแหล่งผลิตอื่น ๆ กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้า ในส่วนของการส่งออก แม้ว่าการส่งออกจะชะลอตัวบ้างและจะต้องติดตามสถานกาณณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด แต่ยังเห็นโอกาสในหลายจุด เช่น การส่งออกไปยังสหรัฐเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมายังคงขยายตัวถึงร้อยละ 16.3 แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีสินค้าหลายรายการที่แข่งขันได้ ดังนั้น ต้องใช้จุดแข็งแสวงหาโอกาสในการส่งออกเพิ่ม ซึ่งการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ กรอ.พาณิชย์ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนเตรียมมาตรการกระตุ้นการส่งออกการค้าชายแดน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีสัดส่วนต่อการส่งออกค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นโอกาสที่จะนำสินค้าไทยแทรกเข้าไปในหลาย ๆ ตลาด เพื่อกระจายความเสี่ยงตลาดส่งออก ลดการพึ่งพาตลาดเดิม ตลอดจนการลดอุปสรรคทางการค้า เพื่อสนับสนุนการทาธุรกิจของภาคเอกชน และทีมวอร์รูม (War Room) จะติดตามสถานการณ์สงครามการค้าอย่างใกล้ชิดและเสนอแนวทางรับมืออย่างทันท่วงที และเฝ้าระวังการนาเข้าในกลุ่มสินค้าสาคัญ ได้แก่ เหล็กกล้าและ ผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ เครื่องจักร ไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์ เพื่อป้องกันการสินค้าไหลเข้ามาไทยเป็นจานวนมากจากมาตรการภาษีระหว่าง สหรัฐและจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ไทยเป็น แหล่งสวมสิทธิ์แหล่งกาเนิดสินค้าอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย