สำนักงานอัยการสูงสุด 13 ส.ค.- “อริสมันต์” ยื่นอัยการสูงสุด ถอนฟ้องคดีล้มประชุมอาเซียน ที่พัทยา ปี 52 เหตุมีพยานเท็จ เชื่อมั่นศาลให้ความยุติธรรม พิพากษาคดีก่อการร้าย พรุ่งนี้
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง และนายนพพร นามเชียงใต้ แนวร่วม นปช. ในฐานะจำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน ที่พัทยา เมื่อปี 2552 เดินทางมายื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ผ่านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้อัยการถอนฟ้องคดีล้มการประชุมอาเซียน เนื่องจากพยานโจทก์ปากสำคัญในคดีถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ
นายอริสมันต์ กล่าวว่า มายื่นขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด กรณี พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย พยาน รับสารภาพว่า ถูกบังคับให้การเท็จปรักปรำพวกตน ขบวนการประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนั้น ต้องการไปยื่นหนังสือต่อผู้นำอาเซียน ทำให้ถูกข้อหาล้มการประชุม ทั้งที่การประชุมเลิกตอน 11 โมง แต่เหตุเกิดขึ้นประมาณบ่ายโมง ถ้ายกเลิกการประชุมหรือการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว รัฐบาลแถลงข่าวยุติแล้ว หรือเลื่อนไป เรื่องราวต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น แต่กลับมีคนเสื้อน้ำเงินมาทำร้ายประชาชน ทำให้ประชาชนแตกตื่นเข้าไปในหอประชุม มีกระจกแตก ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทราบดีว่าใครทำ พวกเราเดินไปทีหลัง เข้าไปในหอประชุม เพื่อไปตามพี่น้องกลับมา นี่คือเรื่องจริงทั้งหมด ขณะที่คนเสื้อน้ำเงินไม่ถูกดำเนินคดี
นายอริสมันต์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ศราวุธ เป็นพยานปากสำคัญ ศาลพิจารณาพยานปากนี้โยงถึงพวกเราว่ามีการกระทำความผิดจริง บางครั้งเอารูปมาก็ไม่ตรง ทำให้ศาลตัดสินตามข้อมูลของ พ.ต.ท.ศราวุธ ทำให้จำเลยฟ้องต่อศาลเรื่องให้การเท็จ ศาลก็ตัดสินแล้วว่ามีความผิดจริง พวกเราทำตามสิทธิหน้าที่พลเมืองที่มีตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เราจึงมาขอความเป็นธรรม
“เมื่อเอาพยานเท็จมาฟ้องเรา อัยการก็รับทราบทั้งหมดเป็นการจัดฉาก นำพยานเข้าสู่ศาลกล่าวหาเราให้มีโทษจำคุก เราก็ถูกจำคุกกันมาพอสมควร วันนี้มีคำพิพากษาถึงที่สุด พยานรับสารภาพเป็นเท็จ จึงมาขออัยการสูงสุดพิจารณาว่า คดีสมควรถูกยกออกไปจากสารบบหรือไม่” นายอริสมันต์ กล่าว
ด้าน นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ที่มา ไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจศาล ในเมื่ออัยการโจทก์มีหน้าที่ส่งฟ้อง แต่ปรากฏว่าพยานสำคัญเป็นพยานเท็จ หมายความว่าอัยการโจทก์ได้ฟ้องเท็จ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม อัยการโจทก์มีอำนาจที่จะถอนฟ้อง เพราะการฟ้องครั้งนี้มิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจะถอนฟ้องแล้วดำเนินคดีใหม่ก็ว่ากันไป
ส่วน นายนพพร กล่าวว่า พ.ต.ท.ศราวุธ เบิกความพาดพิงแทบทุกคนในคดี วันเกิดเหตุ ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่พาดพิงว่าตนไปปราศรัย ทั้งที่ไม่มีภาพถ่ายของตน พนักงานอัยการได้นำภาพบุคคลอื่นพร้อมข้อความ ซึ่งเป็นภาพของนายประหยัด นาคโต หรือเล็ก สนามหลวง ศาลได้นำมาพิจารณาว่าตนกระทำความผิด อัยการโจทก์นำพยานเท็จเข้าสืบ เพราะเป็นภาพของบุคคลอื่น ตนตั้งรางวัล 1 แสนบาท ถ้าใครสามารถนำตัวเล็ก สนามหลวง มาเป็นพยานในศาลได้ เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่ตน
ต่อข้อถามถึง การนัดฟังคำพิพากษาคดี นปช. ก่อการร้าย พรุ่งนี้ (14 ส.ค.) มีความรู้สึกอย่างไร คิดว่าจะเดินทางไปกันครบหรือไม่ นายอริสมันต์ กล่าวว่า ต้องเดินทางไปฟัง เราไม่มีเจตนาหลบหนี เราเชื่อมั่นว่าศาลมีความยุติธรรม เห็นข้อเท็จจริงว่าองค์ประกอบความผิดฐานก่อการร้ายไม่ได้ทำแบบนี้ ไม่มีใครไปก่อการร้ายโดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การปราศรัย การก่อการร้ายคือการก่อวินาศกรรม ทำให้เกิดความหวาดกลัว เสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองและชีวิตของพี่น้องประชาชน ศาลน่าจะพิจารณาแล้วว่า พวกเราไม่เข้าองค์ประกอบความผิดนั้น
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาถูกมองว่า มีบทบาทในการปราศรัยแบบฮาร์ดคอร์ ลำบากในการสู้คดีหรือไม่ นายอริสมันต์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วต้องดูสาเหตุว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น การกระทำของอีกฝ่ายทำกับเรารุนแรงมากอยู่แล้ว บางทีไปดักอุ้มเรา บุกจับเรา โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปในห้อง ถ้าสืบสาวความจริง เราปราศรัยทั่วประเทศ ไม่มีการเจ็บการตาย หรือเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น แต่เมื่อเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วมีการตาย เพราะว่ามีคนนำอาวุธสงคราม กระสุนจริงเข้ามา หลายอย่างที่เกิดขึ้น อยากให้พี่น้องประชาชนคิดว่า การชุมนุมของ นปช. ที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในกรุงเทพฯ ที่เดียว เกิดขึ้นทั่วประเทศ ทุกที่ที่ไปไม่มีความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นที่กรุงเทพฯ .- สำนักข่าวไทย