ธปท. 13 ส.ค. – ธปท.มุ่งส่งเสริมสถาบันการเงินทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน หวังลดเหลื่อมล้ำ หนี้ครัวเรือน และการคอร์รัปชั่น
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ในงาน Bangkok Sustainable Banking Forum ว่า งานนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อส่งเสริมแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนในภาคการเงินไทย และเน้นย้ำบทบาทของภาคการเงินในการร่วมกันจัดการกับความท้าทายของสังคมไทย อาทิ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการคอร์รัปชั่น และแม้ว่าการแก้โจทย์ในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยจะดูเหมือนไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของสถาบันการเงิน แต่ในฐานะของผู้จัดสรรทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สถาบันการเงินสามารถมีส่วนเสริมสร้างความยั่งยืนทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคมระยะยาว
ทั้งนี้ แนวคิดความยั่งยืนไม่ใช่เพียงเรื่องกิจกรรมเพื่อสังคมหรือการกุศล ความยั่งยืน คือ การคำนึงถึงธุรกิจระยะยาว หากสถาบันการเงินสนใจแค่กำไรระยะสั้น ไม่คำนึงถึงผลกระทบและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากกิจกรรมของธุรกิจตนอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะบั่นทอนความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจจากสาธารณชน และฐานะทางการเงินของธุรกิจระยะยาว เช่น การเปิดบัญชีลูกค้าโดยพลการของธนาคาร Wells Fargo เมื่อปี 2559 จากวัฒนธรรมการทำยอดแบบสุดโต่ง สิงคโปร์กับปัญหาหมอกควันจากการลักลอบเผาป่าของโรงงานปาล์มน้ำมันและเยื่อกระดาษในอินโดนีเซีย นำไปสู่กฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ลดลงจากการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินไทย และสินเชื่อเงินทอนนำไปสู่การกู้เกินความจำเป็น แม้ว่าหลายครั้งสถาบันการเงินจะหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้ แต่ยังคงบั่นทอนความไว้วางใจจากประชาชน
นอกจากนี้ การละเลยประเด็นความยั่งยืนตามกรอบ ESG ในการทำธุรกิจของภาคสถาบันการเงินอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่ ความเสี่ยงด้านเครดิต เกิดจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อผลผลิตและธุรกิจ ทำให้ผู้กู้ขาดรายได้และไม่สามารถชำระหนี้ได้ หรือปัญหาช่องว่างทางสังคม นำไปสู่สถานการณ์ความไม่สงบ และความเสี่ยงด้านชื่อเสียง สถาบันการบันการเงินมีความเสี่ยง ถ้าลูกค้าไม่สามารถปรับธุรกิจให้เข้ากับความคาดหวังของสังคม โดยพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็ว และหันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ถ้าผู้ผลิตไม่ปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ดังนั้น สถาบันการเงินไม่ควรละเลยความเสี่ยงในมิติของ ESG และภายในองค์กรควรพิจารณาเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงคำนวณมูลค่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยควรเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำมั่น และการกระทำของผู้บริหารระดับสูงเพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรที่คำนึงถึงความยั่งยืน แนวปฏิบัติที่อาจเริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมายและกลยุทธ์เพื่อจัดการกับประเด็นด้านความยั่งยืน การตั้งเกณฑ์การควบคุมกิจกรรมที่อาจส่งผลทางลบ และการขยายขอบเขตการพิจารณาความเสี่ยงด้านความยั่งยืน
ขณะเดียวกันเป็นเรื่องน่ายินดีที่สถาบันการเงินไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกรอบและคำนึงถึงความเสี่ยง ESG มากขึ้น สถาบันการเงินหลายรายศึกษาแนวทางประเมินและบรรเทาความเสี่ยง การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการนำมาตรฐานเรื่องความยั่งยืนระดับสากลมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตน ขณะเดียวกัน ธปท.และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ พัฒนาศักยภาพของธุรกิจ และสนับสนุนการให้คำมั่นที่จะปลูกฝังเรื่องความยั่งยืนให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของภาคการเงินขึ้นอยู่กับความยั่งยืนในความไว้วางใจจากสาธารณชน ทุกคนต้องย้ำเตือนตัวเองว่าความยั่งยืนเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อภาคการเงินมองกว้างและมองไกล มองข้ามผลประโยชน์ระยะสั้นของตนเอง เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและสังคมระยะยาว . – สำนักข่าวไทย